General knowledge

forest classification กับการจัดทำ PDD (Project Design Document) อย่างมีประสิทธิภาพ

forest classification กับการจัดทำ PDD (Project Design Document) อย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนการจัดทำ PDD สำหรับการ forest classification

เมื่อสภาพภูมิอากาศเป็นวาระเร่งด่วนของโลก โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับภาคป่าไม้ เช่น โครงการ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ได้รับความสนใจอย่างสูง และเอกสารสำคัญที่สุดในการพัฒนาโครงการเหล่านี้คือ PDD (Project Design Document) หรือเอกสารออกแบบโครงการ ซึ่งเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่อธิบายรายละเอียดทั้งหมดของโครงการ

และหนึ่งในองค์ประกอบที่เป็นรากฐานและส่งผลต่อความสำเร็จและความน่าเชื่อถือของโครงการมากที่สุดก็คือ การจำแนกประเภทป่าไม้ (forest classification) โดยบทความนี้จะอธิบายถึงความสำคัญของการจำแนกประเภทป่าไม้และความเชื่อมโยงที่ขาดไม่ได้กับการจัดทำ Project Design Document ให้มีประสิทธิภาพและได้รับการรับรอง

การจำแนกประเภทป่าไม้ (forest classification) และ PDD คืออะไร?

Forest Classification คือกระบวนการจัดกลุ่มและแบ่งพื้นที่ป่าไม้ออกเป็นประเภทต่างๆ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อให้เข้าใจลักษณะทางกายภาพและชีวภาพของพื้นที่ป่าแต่ละแห่งได้อย่างชัดเจน เกณฑ์ที่นิยมใช้ในการจำแนก ได้แก่

  • ชนิดพรรณไม้เด่น: เช่น ป่าดิบชื้น, ป่าเบญจพรรณ, ป่าเต็งรัง, ป่าชายเลน
  • ลักษณะทางภูมิศาสตร์: เช่น ป่าที่ลุ่ม, ป่าภูเขา
  • ความหนาแน่นของเรือนยอด (Canopy Density): เช่น ป่าทึบ, ป่าโปร่ง
  • สถานะทางกฎหมาย: เช่น ป่าสงวนแห่งชาติ, อุทยานแห่งชาติ

ในบริบทของโครงการคาร์บอนเครดิต การจำแนกประเภทป่าไม้หรือ (forest classification) มักใช้เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม ร่วมกับการสำรวจภาคพื้นดิน เพื่อสร้างแผนที่ประเภทป่าไม้ที่มีความแม่นยำสูง

PDD (Project Design Document) คืออะไร?

Project Design Document คือเอกสารมาตรฐานที่ผู้พัฒนาโครงการต้องจัดทำขึ้นเพื่อยื่นขอรับรองโครงการลดก๊าซเรือนกระจก เอกสารนี้จะอธิบายข้อมูลสำคัญของโครงการอย่างละเอียด ตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐานไปจนถึงการคำนวณและการติดตามผล เพื่อให้ผู้ประเมินภายนอก (Validation and Verification Body: VVB) สามารถตรวจสอบและให้การรับรองได้ โดยองค์ประกอบหลักของ PDD ได้แก่

  • คำอธิบายโครงการและกิจกรรมที่จะดำเนินการ
  • สถานการณ์ฐาน (Baseline Scenario) : การคาดการณ์ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะเกิดขึ้นหากไม่มีโครงการ
  • ระเบียบวิธีการ (Methodology) : การเลือกใช้ระเบียบวิธีที่ได้รับการยอมรับในการคำนวณการลดการปล่อยก๊าซฯ
  • การคำนวณการกักเก็บคาร์บอน : การประเมินปริมาณคาร์บอนที่โครงการสามารถกักเก็บหรือลดการปล่อยได้
  • แผนการติดตามผล (Monitoring Plan) : วิธีการเก็บข้อมูลและติดตามผลการดำเนินงานของโครงการ

ความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่าง forest classification และ pdd

การจำแนกประเภทป่าไม้ที่แม่นยำเป็นข้อมูลตั้งต้นที่ส่งผลโดยตรงต่อเนื้อหาเกือบทุกส่วนของ Project Design Document ดังนี้

  1. การกำหนดสถานการณ์ฐาน (Baseline Setting) : หากไม่มีการจำแนกประเภทป่าไม้ เราจะไม่สามารถระบุได้ว่าก่อนมีโครงการ พื้นที่นั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร การจำแนกป่าช่วยให้เราทราบว่าพื้นที่โครงการเดิมเป็นป่าเสื่อมโทรม ป่าเต็งรังหรือพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งข้อมูลนี้จำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างสถานการณ์ฐานที่น่าเชื่อถือ เพื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังมีโครงการ
  2. การเลือกใช้ระเบียบวิธีการ (Methodology Selection) : ระเบียบวิธีการคำนวณคาร์บอนเครดิตแต่ละฉบับถูกออกแบบมาสำหรับกิจกรรมและประเภทป่าไม้ที่แตกต่างกัน เช่น ระเบียบวิธีสำหรับการปลูกป่าในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม จะแตกต่างจากระเบียบวิธีสำหรับโครงการที่ป้องกันการบุกรุกป่า (Avoided Deforestation หรือ REDD+) การ forest classification ได้อย่างถูกต้องจึงเป็นเงื่อนไขแรกในการเลือกใช้ระเบียบวิธีที่เหมาะสม
  3. ความแม่นยำในการคำนวณคาร์บอน (Accuracy in Carbon Calculation) : ป่าแต่ละประเภทมีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนไม่เท่ากัน เนื่องจากชนิดของต้นไม้ อายุและความหนาแน่นแตกต่างกัน การจำแนกประเภทป่าช่วยให้เราสามารถเลือกใช้ค่าสัมประสิทธิ์การแปลงเป็นชีวมวล (Biomass Expansion Factors - BEF) และสมการชีวมวล (Allometric Equations) ที่จำเพาะเจาะจงกับชนิดป่าและพันธุ์ไม้ในพื้นที่ได้ ซึ่งนำไปสู่การคำนวณปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บได้แม่นยำและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
  4. การวางแผนติดตามและประเมินผล (Monitoring Plan) : แผนการติดตามผลใน PDD ต้องระบุวิธีการและตำแหน่งของแปลงตัวอย่างถาวร (Permanent Sample Plots) เพื่อวัดการเจริญเติบโตและการกักเก็บคาร์บอนตลอดระยะเวลาโครงการ การจำแนกประเภทป่าไม้จะช่วยให้สามารถวางแปลงตัวอย่างได้อย่างครอบคลุมและเป็นตัวแทนของป่าแต่ละประเภทในพื้นที่โครงการ ทำให้ผลการติดตามมีความเที่ยงตรง
  5. การประเมินความเสี่ยงและผลประโยชน์ร่วม (Risk and Co-benefit Assessment) : ป่าต่างชนิดกันมีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามต่างกัน เช่น ป่าเต็งรังอาจมีความเสี่ยงต่อไฟป่าสูงกว่าป่าดิบชื้น การจำแนกป่าช่วยให้ระบุความเสี่ยงเหล่านี้ใน PDD และวางมาตรการป้องกันได้ นอกจากนี้ ยังช่วยในการระบุผลประโยชน์ร่วม เช่น การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในป่าประเภทหายาก ซึ่งช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับโครงการได้

ขั้นตอนการจัดทำ PDD สำหรับโครงการป่าไม้โดยเน้นการใช้ forest classification

ขั้นตอนที่ 1: การสำรวจเบื้องต้นและศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ

  • การประเมินสภาพพื้นที่ : ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดปานกลาง (เช่น Landsat) เพื่อจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินและประเภทป่าไม้แบบหยาบๆ เพื่อดูว่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าเสื่อมโทรม, พื้นที่เกษตรกรรมหรือป่าสมบูรณ์
  • การตรวจสอบประวัติพื้นที่ : วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลัง (อย่างน้อย 10 ปี) เพื่อพิสูจน์ว่าพื้นที่เข้าเงื่อนไขของระเบียบวิธีที่สนใจหรือไม่ เช่น โครงการปลูกป่า (Afforestation/Reforestation) พื้นที่จะต้องไม่เป็นป่ามาก่อน
  • การประเมินศักยภาพ : จากประเภทป่าไม้เบื้องต้น สามารถคาดการณ์ศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนคร่าวๆ ได้ เพื่อประเมินความคุ้มค่าทางการเงินของโครงการ

ขั้นตอนที่ 2: การรวบรวมข้อมูลและการสำรวจภาคพื้นดิน

  • ข้อมูลสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) : จัดหาภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง (เช่น Sentinel, Planet, หรือภาพถ่ายเชิงพาณิชย์) สำหรับปีฐาน (Baseline Year) ของโครงการ
  • การสำรวจภาคพื้นดิน (Ground Truthing) : เช่น วางแผนจุดสำรวจให้ครอบคลุมพื้นที่ที่คาดว่าจะเป็นป่าคนละประเภทตามที่เห็นในภาพถ่ายดาวเทียม, ลงพื้นที่จริงเพื่อเก็บข้อมูล ณ จุดสำรวจ ซึ่งข้อมูลภาคพื้นดินนี้จะถูกใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงความจริง เพื่อสอนและตรวจสอบความถูกต้องของแบบจำลองการจำแนกประเภทป่า

ขั้นตอนที่ 3: การจำแนกประเภทป่าไม้และจัดทำแผนที่ บทบาทของ forest classification คือการวิเคราะห์ด้วย GIS โดยการนำภาพถ่ายดาวเทียม (จากขั้นตอนที่ 2) มาประมวลผลในโปรแกรมระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เช่น QGIS หรือ ArcGIS, การจำแนกแบบกำกับดูแลโดยนำข้อมูลภาคพื้นดินมาเป็นพื้นที่ตัวอย่างฝึกสอน เพื่อให้ซอฟต์แวร์เรียนรู้และจำแนกลักษณะของป่าแต่ละประเภทจากภาพถ่ายดาวเทียม

จากนั้นประเมินความถูกต้องของแผนที่ที่ได้ โดยเปรียบเทียบผลลัพธ์กับข้อมูลภาคพื้นดินชุดที่แยกไว้สำหรับตรวจสอบ และสร้างแผนที่ขั้นสุดท้ายที่แสดงขอบเขตของป่าแต่ละประเภทอย่างชัดเจน เช่น ป่าเบญจพรรณสมบูรณ์, ป่าเต็งรังเสื่อมโทรม, พื้นที่เกษตรกรรมที่ถูกทิ้งร้าง

ขั้นตอนที่ 4: การแบ่งชั้นภูมิและการคำนวณคาร์บอน : มีเป้าหมายในการคำนวณปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในสถานการณ์ฐาน และที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากโครงการ
โดยบทบาทของ forest classification มีดังนี้

  • การแบ่งชั้นภูมิ (Stratification) : ใช้แผนที่จำแนกประเภทป่าไม้ (จากขั้นตอนที่ 3) เป็นเกณฑ์ในการแบ่งพื้นที่โครงการออกเป็น "ชั้นภูมิ" (Strata) ที่มีลักษณะเหมือนกัน เช่น ชั้นภูมิป่าเต็งรัง, ชั้นภูมิป่าเบญจพรรณ การแบ่งชั้นภูมินี้จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้การสุ่มตัวอย่างและการคำนวณมีความแม่นยำและเป็นไปตามหลักการทางสถิติ
  • การคำนวณคาร์บอนสต็อก: สำหรับแต่ละชั้นภูมิ (stratum) ให้คำนวณคาร์บอนสต็อกในชีวมวลเหนือพื้นดิน, ใต้ดิน, ไม้ตายและเศษซากพืช และเลือกใช้สมการชีวมวล (Allometric Equation) และค่าแฟคเตอร์ต่างๆ (เช่น Wood Density, BEF) ที่เหมาะสมกับ ชนิดป่าและพรรณไม้ในชั้นภูมินั้นๆ

ขั้นตอนที่ 5: การจัดทำแผนการติดตามผล : ออกแบบวิธีการติดตามการเปลี่ยนแปลงการกักเก็บคาร์บอนตลอดอายุโครงการ ซึ่งแผนการติดตามผลที่ระบุชัดเจนถึงตำแหน่งแปลงตัวอย่างในแต่ละประเภทป่า จะทำให้แผนมีความน่าเชื่อถือ

ขั้นตอนที่ 6: การจัดทำร่างเอกสาร PDD : นำข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากขั้นตอนก่อนหน้า มากรอกลงในแบบฟอร์ม ตามมาตรฐาน (เช่น T-VER) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

  • คำอธิบายโครงการ: อธิบายลักษณะทางกายภาพของพื้นที่โครงการ โดยอ้างอิงผลจากการจำแนกประเภทป่าไม้
  • การกำหนดสถานการณ์ฐาน: ใช้แผนที่และข้อมูลประวัติพื้นที่เพื่อยืนยันสถานการณ์ฐานของโครงการ
  • ระเบียบวิธีการ: อ้างอิงผลการจำแนกประเภทป่าเพื่อยืนยันว่าโครงการเข้าเงื่อนไขของระเบียบวิธีที่เลือกใช้
  • การคำนวณ: นำเสนอผลการคำนวณคาร์บอนที่แบ่งตามชั้นภูมิ (Stratification) อย่างละเอียด
  • แผนการติดตามผล: อธิบายแผนการติดตามผลโดยระบุตำแหน่งแปลงตัวอย่างที่สัมพันธ์กับแผนที่ประเภทป่า
  • ภาคผนวก : แนบ "แผนที่จำแนกประเภทป่าไม้" เป็นหลักฐานสำคัญ

การจำแนกประเภทป่าไม้หรือ forest classification ไม่ใช่เป็นเพียงขั้นตอนทางเทคนิค แต่เป็นรากฐานเชิงกลยุทธ์ของการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ การลงทุนลงแรงเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลการจำแนกประเภทป่าที่ถูกต้องและละเอียดตั้งแต่เริ่มต้น จะช่วยให้การจัดทำ PDD เป็นไปอย่างราบรื่น มีความน่าเชื่อถือสูง ลดความเสี่ยงที่จะถูกปฏิเสธในขั้นตอนการตรวจสอบ และที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้โครงการสามารถบรรลุเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง

CarbonWatch เราผู้นำเทคโนโลยีอวกาศเพื่อสิ่งแวดล้อม และคาร์บอนเครดิตรายแรกของไทย เราผสานนวัตกรรมของเทคโนโลยีดาวเทียมสำรวจโลกและ AI เพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้ เรามุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการสิ่งแวดล้อม และลดก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างเครดิตคาร์บอน เพื่อลดคาร์บอนอย่างยั่งยืนในตลาด Carbon Credit มาตรฐาน

ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา

แหล่งข้อมูลอ้างอิง 

  • องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) - TGO:
    ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ T-VER และเอกสาร PDD Template
    https://ghgemission.tgo.or.th/th/t-ver-thailand-voluntary-emission-reduction-program/t-ver-document-download.html

  • Verra (Verified Carbon Standard - VCS):
    มาตรฐานคาร์บอนเครดิตระดับสากล มีข้อมูลระเบียบวิธี (Methodology) ด้านป่าไม้จำนวนมาก
    https://verra.org/methodologies-and-pdds/

  • IPCC Guidelines for National Greenhouse Gas Inventories (AFOLU):
    แนวทางของ IPCC สำหรับภาคเกษตร ป่าไม้ และการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งเป็นพื้นฐานของระเบียบวิธีส่วนใหญ่
    https://www.ipcc-nggip.iges.or.jp/public/2019rf/vol4.html

  • กรมป่าไม้ (Royal Forest Department of Thailand):
    ข้อมูลเกี่ยวกับประเภทป่าไม้ต่างๆ ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
    https://www.forest.go.th/

Related technology

คำถามที่พบบ่อย

No items found.

Get started with CarbonWatch

"Register and easily start your project. Experience a comprehensive carbon management service designed to make your management simple and seamless."

Get Started