REDD+ หรือ Reducing Emissions from Deforestation and Forest Degradation เป็นกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ UNFCCC (United Nations Framework Convention on Climate Change) ที่มีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากป่าไม้มีความสำคัญในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และเป็นแหล่งของความหลากหลายทางชีวภาพ
การดำเนินงานของ REDD+ นี้ครอบคลุมกิจกรรมหลัก 5 ประการ ที่ไม่ใช่แค่การป้องกันแต่ยังเป็นการเพิ่มและจัดการอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมการอนุรักษ์ การจัดการป่าอย่างยั่งยืนและการเพิ่มปริมาณคาร์บอนในป่า เมื่อประเทศนั้นๆ สามารถแสดงผลการลดการปล่อยฯ ได้ จะมีช่องทางรับเงินจูงใจ หรือที่เรียกว่า results-based payments ภายใต้กลไกต่างๆ ของสังคมระหว่างประเทศนั้นๆ ด้วย
กรอบของ 5 กิจกรรมหลักใน REDD+
- ลดการตัดไม้ทำลายป่า (reducing emissions from deforestation)
- ลดการเสื่อมโทรมของป่า (reducing emissions from forest degradation)
- การอนุรักษ์ปริมาณคาร์บอนในป่า (conservation of forest carbon stocks)
- การจัดการป่าอย่างยั่งยืน (sustainable management of forests)
- การเพิ่มปริมาณคาร์บอนในป่า (enhancement of forest carbon stocks)
(ที่มาของข้อมูล : FAOHome+1) และต่อไปนี้คืออธิบายเชิงลึกแต่ละกิจกรรม พร้อมมาตรการ ตัวชี้วัดและประเด็นเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้อง
ทำความรู้จัก 5 กิจกรรมหลักภายใต้ REDD+ อย่างเจาะลึก
-
การลดการปล่อยก๊าซจากการทำลายป่า : กิจกรรมแรกและสำคัญที่สุดของ Reducing Emissions from Deforestation and Forest Degradation นี้คือการป้องกันการสูญเสียพื้นที่ป่าจากการทำลาย เช่น การบุกรุกเพื่อทำไร่เลื่อนลอย การเปลี่ยนพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่เกษตรกรรมขนาดใหญ่ การตัดไม้ผิดกฎหมายและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ยั่งยืน การดำเนินการในส่วนนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างมาตรการที่เข้มงวด การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และการสร้างทางเลือกอาชีพที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชนที่ต้องพึ่งพิงป่า เพื่อลดแรงจูงใจในการทำลายป่า
แหล่งข้อมูลอ้างอิง: UNFCCC REDD+ Programme: https://unfccc.int/topics/land-use/workstreams/redd
-
การลดการปล่อยก๊าซจากการทำให้ป่าเสื่อมโทรม : นอกจากการป้องกันการสูญเสียพื้นที่ป่าทั้งหมดแล้ว REDD+ ยังให้ความสำคัญกับการลดการเสื่อมโทรมของป่า ซึ่งหมายถึงการลดความสามารถของป่าในการดูดซับคาร์บอนและรักษาระบบนิเวศ เช่น การตัดไม้ทำลายป่าอย่างไม่ถูกวิธี การเกิดไฟป่า การทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ การดำเนินการในส่วนนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน การฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่เสื่อมโทรม และการให้ความรู้แก่ชุมชนในการดูแลรักษาป่าอย่างถูกต้อง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง: World Bank Forest Carbon Partnership Facility (FCPF): https://www.forestcarbonpartnership.org/what-is-redd
-
การอนุรักษ์พื้นที่ป่า : กิจกรรมของ REDD+ นี้ยังมุ่งเน้นไปที่การรักษาพื้นที่ป่าที่มีอยู่เดิมให้คงอยู่และสมบูรณ์ การอนุรักษ์ป่าไม่ได้หมายถึงการห้ามใช้อย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการใช้ประโยชน์อย่างมีขอบเขตและยั่งยืน เพื่อให้ป่าสามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งดูดซับและกักเก็บคาร์บอนได้ในระยะยาว การดำเนินการในส่วนนี้อาจรวมถึงการจัดตั้งเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า การจัดการพื้นที่ป่าชุมชนและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : IUCN (International Union for Conservation of Nature): https://www.iucn.org/resources/forests/redd-and-forests
-
การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน : กิจกรรมนี้เน้นการใช้ประโยชน์จากป่าอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เพื่อให้สามารถสร้างรายได้และเป็นแหล่งทรัพยากรให้กับชุมชน โดยไม่ทำให้ป่าเสื่อมโทรมลง ตัวอย่างเช่น การปลูกป่าเชิงเศรษฐกิจอย่างถูกวิธี การเก็บเกี่ยวผลผลิตจากป่าอย่างยั่งยืนและการส่งเสริมการแปรรูปไม้ที่มาจากป่าที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น FSC (Forest Stewardship Council)
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : Food and Agriculture Organization of the United Nations (FAO) - Forestry: http://www.fao.org/forestry/redd-plus/en/
-
การเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนในป่า : กิจกรรมสุดท้ายของ REDD+ คือการเพิ่มพื้นที่ป่าและคุณภาพของป่า เพื่อให้สามารถดูดซับคาร์บอนได้มากขึ้น การดำเนินการในส่วนนี้อาจรวมถึงการปลูกป่าใหม่ (Afforestation) ในพื้นที่ที่เคยไม่มีป่าและการฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม (Reforestation) ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง การเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนนี้ถือเป็นส่วนสำคัญที่เปลี่ยนจากการป้องกันเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างแท้จริง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : UN-REDD Programme: https://www.un-redd.org/
แนวทางกิจกรรมและสิ่งที่ทำให้ REDD+ ทำงานได้จริง
- การวัด รายงานและตรวจสอบ (MRV / NFMS) : การจ่ายเงินตามผลลัพธ์ต้องอาศัยระบบที่เชื่อถือได้ในการวัดการเปลี่ยนแปลงคาร์บอน — ระบบ National Forest Monitoring System (NFMS) และการรายงานตามแนวทาง IPCC เป็นหัวใจสำคัญของการพิสูจน์ผลลัพธ์. เทคโนโลยีที่ใช้รวมดาวเทียม (Landsat, Sentinel), LiDAR, UAV และการสุ่มตัวอย่างภาคสนามเพื่อคำนวณชีวมวล (ที่มา : UN-REDDUNFCCC)
- ระบบคุ้มครองทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (Safeguards) : REDD+ ต้องไม่ส่งผลกระทบทางลบต่อสิทธิชุมชนท้องถิ่น/ชนเผ่า (FPIC — free, prior and informed consent) และต้องคำนึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพ การเข้าถึงทรัพยากรและความยุติธรรม และCOP มีแนวทางการติดตามข้อมูลการปฏิบัติตามมาตรการเหล่านี้ (ที่มา : UNFCCC)
- การมีส่วนร่วมของชุมชนและการจัดการสิทธิที่ดิน : ความชัดเจนเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินและการให้ชุมชนมีบทบาทในการออกแบบ/บริหารโครงการเป็นตัวแปรชี้เป็นผลสำเร็จของ REDD+ ในระดับพื้นที่
- การเงินและกลไกชำระผลลัพธ์ : แหล่งเงินมาจากกองทุนสาธารณะ (เช่น Green Climate Fund, FCPF), ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ/ภาคบังคับและช่องทางทุนอื่นๆ แต่ประเทศต้องผ่านขั้นตอน readiness และพิสูจน์การลดการปล่อยผ่าน MRV ก่อนการจ่ายเงินตามผลลัพธ์ (ที่มา : Green Climate Fundredd.unfccc.int)
ข้อเสนอเชิงปฏิบัติสำหรับผู้กำหนดนโยบาย / ผู้ปฏิบัติของ REDD+
- เริ่มด้วยการเตรียมความพร้อม : ทำ R-PP, ประเมิน drivers, สิทธิที่ดินและระบบ NFMS
- ตั้งค่า Forest Reference Levels/Emission Levels (FRL/REL) ตามแนวทาง UNFCCC/IPCC
- สร้างระบบ MRV ที่ผสานดาวเทียมกับการสำรวจภาคสนาม และออกแบบระบบข้อมูลมาตรการคุ้มครอง (safeguards information system)
- ออกแบบกลไกการแบ่งปันผลประโยชน์ที่โปร่งใสสำหรับชุมชนท้องถิ่น และผสานมาตรการสร้างรายได้ทางเลือก (agroforestry, NTFPs)
- เริ่มโครงการนำร่องในระดับภูมิภาค/จังหวัด เพื่อทดสอบเทคนิค MRV การจัดการชุมชนและโมเดลการเงินก่อนขยายสเกล
REDD+ ไม่ใช่แค่มาตรการปลูกต้นไม้ แต่คือชุดนโยบายและการปฏิบัติที่ผสานทั้งการปกป้อง ลดการเสื่อม พร้อมแนวทางที่ครอบคลุมการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน การอนุรักษ์และการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดต้องมาพร้อมระบบวัดรายงานที่เชื่อถือได้ มาตรการคุ้มครองสังคม-สิ่งแวดล้อม และรูปแบบการเงินที่เหมาะสม เพื่อให้ผลการลดการปล่อยก๊าซจากป่าเป็นไปได้จริงและยั่งยืน
ในท้ายที่สุด การจะบรรลุเป้าหมายของ REDD+ ได้อย่างแท้จริง การติดตามและประเมินผลคือสิ่งสำคัญ CarbonWatch เป็นเครื่องมือดิจิทัลที่ทันสมัย ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของปริมาณคาร์บอนในป่าได้อย่างแม่นยำและแบบเรียลไทม์ ทำให้การดำเนินงานโปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้เราเห็นภาพรวมที่ชัดเจนของการป้องกันการบุกรุกและการเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างเป็นรูปธรรม
ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา
