ที่มาและวิวัฒนาการของแนวคิดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย
แนวคิดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นจากการที่ประเทศไทยเป็นภาคีของอนุสัญญาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (UNFCCC) และพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism : CDM) ภายใต้พิธีสารเกียวโต CDM เปิดโอกาสให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถสร้าง Carbon Credit จากการดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และนำเครดิตเหล่านั้นไปขายให้กับประเทศพัฒนาแล้วที่ต้องการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซฯ
ซึ่งในช่วงแรก ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตโดยตรง แต่การดำเนินโครงการ CDM ได้รับการกำกับดูแลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ในฐานะหน่วยประสานงานกลางของประเทศ (Designated National Authority : DNA) สำหรับ CDM ได้มีการพัฒนากฎหมายและแนวทางเกี่ยวกับ Carbon Credit อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงปารีสและมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2065 (ที่มา)
กลไกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย
ปัจจุบัน กลไกหลักในการส่งเสริมและกำกับดูแล Carbon Credit ในประเทศไทยคือ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction: T-VER) ซึ่งบริหารจัดการโดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (Thailand Greenhouse Gas Management Organization (Public Organization) : TGO) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
- องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) : อบก. ก่อตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ รวมถึงการเป็นผู้พัฒนาระบบ T-VER และทำหน้าที่รับรองคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นจากโครงการต่างๆ )ที่มาข้อมูล: www.tgo.or.th)
- โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) : T-VER เป็นกลไกที่ อบก. พัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนสมัครใจเข้ามามีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินโครงการที่ชัดเจน ผู้พัฒนาโครงการที่ผ่านการรับรองจาก อบก. จะได้รับคาร์บอนเครดิตในหน่วยที่เรียกว่า T-VER Credit ซึ่งสามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ (ที่มาข้อมูล: www.tgo.or.th/2021/th/t-ver/)
ประเภทของโครงการ T-VER
- พลังงานหมุนเวียน : โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ชีวมวล หรือพลังงานน้ำขนาดเล็กการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน : การปรับปรุงกระบวนการผลิต อุปกรณ์ หรืออาคารให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การจัดการของเสีย : การนำของเสียไปใช้ประโยชน์ เช่น ผลิตก๊าซชีวภาพหรือการลดปริมาณขยะฝังก
- การเกษตร : การปรับเปลี่ยนวิธีการทำเกษตรกรรมที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การปลูกข้าวแบบลดการปล่อยมีเทน
- ป่าไม้และพื้นที่สีเขียว : โครงการปลูกป่า ฟื้นฟูสภาพป่าหรือการอนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จาก
- บรรยากาศอื่นๆ : โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือภาคส่วนอื่นๆ ที่มีศักยภาพ
กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมคาร์บอนเครดิต
แม้จะยังไม่มีพระราชบัญญัติว่าด้วยเรื่อง Carbon Credit โดยเฉพาะในประเทศไทย แต่มีกฎหมายและนโยบายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องและเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนกลไกนี้ ได้แก่
- พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 (และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) : เป็นกฎหมายแม่บทด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ ซึ่งกำหนดกรอบการดำเนินงานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยรวม รวมถึงการลดมลพิษและการส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
- แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561-2580) : แผนแม่บทฉบับนี้ได้กำหนดเป้าหมายและยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินงานที่กว้างขึ้นสำหรับนโยบายและมาตรการต่างๆ รวมถึงการส่งเสริมกลไกตลาดคาร์บอน
- แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (Power Development Plan: PDP) : PDP เป็นแผนที่กำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งมักจะมีการกำหนดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นแหล่งที่มาสำคัญของคาร์บอนเครดิต
- นโยบายและแผนพลังงานแห่งชาติ : นโยบายและแผนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด
- มาตรการและนโยบายจากหน่วยงานกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์และกระทรวงการคลัง : แม้จะไม่ได้เป็นกฎหมายโดยตรง แต่มาตรการส่งเสริมการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ESG) หรือมาตรการทางภาษีบางอย่างอาจส่งเสริมให้บริษัทต่างๆ หันมาลงทุนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกและซื้อขายคาร์บอนเครดิตมากขึ้น
ประเทศไทยมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในการพัฒนากฎหมายและกลไกที่เกี่ยวข้องกับ Carbon Credit ดังนี้
- การพัฒนาตลาดคาร์บอนในประเทศ : อบก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาระบบตลาดคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายคาร์บอนเครดิต การกำหนดราคาอ้างอิงและการส่งเสริมให้เกิดความต้องการซื้อ Carbon Credit จากภาคเอกชน
- การศึกษาความเป็นไปได้ของมาตรการบังคับ (Carbon Pricing) : รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมาตรการกำหนดราคาคาร์บอนมาใช้ในอนาคต ซึ่งอาจมาในรูปแบบของภาษีคาร์บอนหรือระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme: ETS) มาตรการเหล่านี้จะสร้างแรงจูงใจที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้ภาคอุตสาหกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจะเป็นการสร้างตลาดคาร์บอนที่ใหญ่ขึ้นและมีสภาพคล่องสูงขึ้น
- ความร่วมมือระหว่างประเทศ : ประเทศไทยยังคงมีส่วนร่วมในการเจรจาระหว่างประเทศภายใต้ UNFCCC โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของข้อตกลงปารีส ซึ่งเกี่ยวข้องกับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ ความสำเร็จในการเจรจานี้จะส่งผลต่อโอกาสในการส่งออก Carbon Credit ของไทยในอนาคต
- การส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชน : ภาครัฐพยายามส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนตลาดคาร์บอนมากขึ้น เช่น การสนับสนุนการลงทุนในโครงการสีเขียว การเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซฯ ขององค์กร
- การพัฒนากฎหมายลูกและระเบียบที่เกี่ยวข้อง : เพื่อให้กลไก T-VER และตลาดคาร์บอนดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะมีการออกกฎหมายลูก ระเบียบและข้อบังคับต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อให้การดำเนินงานชัดเจน โปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานสากล
กฎหมายว่าด้วยคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนกลไก T-VER และส่งเสริมตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ แม้จะยังไม่มีพระราชบัญญัติคาร์บอนเครดิตโดยตรง แต่มีกฎหมายและนโยบายหลายฉบับที่สนับสนุนแนวคิดและเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความเคลื่อนไหวล่าสุดชี้ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนากลไกตลาดคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมาตรการบังคับใช้มาใช้ในอนาคต
การจะบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน ในการสนับสนุนและเข้าร่วมโครงการที่สร้างคาร์บอนเครดิต รวมถึงการเตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบและมาตรการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น การพัฒนากฎหมายและกลไกที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นไปตามมาตรฐานสากล จะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและยั่งยืนในอนาคต
CarbonWatch เราผู้นำเทคโนโลยีอวกาศเพื่อสิ่งแวดล้อม และคาร์บอนเครดิตรายแรกของไทย เราผสานนวัตกรรมดาวเทียมสำรวจโลกและ AI เพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้ เรามุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการสิ่งแวดล้อม และ ลดก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างเครดิตคาร์บอน เพื่อลดคาร์บอนอย่างยั่งยืนในตลาด Carbon Credit มาตรฐาน
ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา

แหล่งข้อมูล : European Commission – Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM)