การตรวจจับจุดความร้อน (Hotspot Detection) ของ CarbonWatch มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเฝ้าระวังไฟป่าและการจัดการพื้นที่ป่าไม้และเกษตร เพราะไฟป่าไม่เพียงทำลายทรัพยากรธรรมชาติ แต่ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งหลักการทำงานของเรามีความแตกต่างที่โดดเด่นและตอบโจทย์การใช้งานจริงมากกว่าเมื่อเทียบกับเจ้าอื่นๆ ในตลาดซึ่งปัจจุบันมีหลายแพลตฟอร์มที่ใช้ดาวเทียมในการตรวจจับจุดความร้อน
หลักการทำงานของการตรวจจับจุดความร้อนของ CarbonWatch
การตรวจจับไฟป่าด้วยเทคโนโลยีดาวเทียม : เราใช้เทคโนโลยี Remote Sensing ผ่านดาวเทียมที่สามารถตรวจจับความร้อนจากการแผ่รังสีอินฟราเรดบนพื้นดินได้ หากพื้นที่ใดมีอุณหภูมิสูงผิดปกติ เช่น การลุกไหม้ของไฟป่า ดาวเทียมจะบันทึกเป็นจุดความร้อน (Hotspot) และส่งข้อมูลกลับมายังศูนย์ประมวลผลของ CarbonWatch
ความแตกต่างของเราเมื่อเทียบกับเจ้าอื่น คือไม่ได้พึ่งพาเฉพาะดาวเทียม Free Sources อย่าง VIIRS หรือ MODIS เท่านั้น แต่ยังใช้ดาวเทียมเชิงพาณิชย์ (Commercial Satellites) ร่วมด้วย ทำให้มีข้อมูลถี่กว่าและครอบคลุมมากกว่า ส่งผลให้สามารถตรวจพบจุดความร้อนได้แม่นยำขึ้น
ดาวเทียมโคจรผ่านประเทศไทยวันละ 4 ครั้ง : ดาวเทียมที่ใช้มีเส้นทางโคจรผ่านประเทศไทยถึงวันละ 4 รอบ ได้แก่
- 10.00 น.
- 14.00 น.
- 22.00 น.
- 02.00 น.
การที่มีหลายรอบต่อวัน ทำให้ CarbonWatch สามารถตรวจสอบพื้นที่ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน เพิ่มโอกาสในการตรวจพบไฟป่าได้ทันท่วงทีและลดความเสี่ยงที่จะพลาดไฟเล็กๆ ที่เพิ่งเริ่มต้น
การแจ้งเตือนภายใน 2 ชั่วโมงผ่านระบบ LINE : เมื่อระบบตรวจจับพบไฟป่า ข้อมูลจากดาวเทียมจะถูกส่งเข้ามาประมวลผลที่ศูนย์กลางของ CarbonWatch จากนั้นจะมีการสร้างสัญญาณแจ้งเตือน (Alert) โดยตรงไปยังผู้ใช้งานผ่าน LINE Official Account
- ระยะเวลาแจ้งเตือน ไม่เกิน 2 ชั่วโมงหลังการตรวจพบ
- ผู้ใช้งานสามารถกดที่การแจ้งเตือนเพื่อดู พิกัดแผนที่ ของจุดความร้อน
- ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าพื้นที่เพื่อควบคุมไฟได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสียหาย และรักษาความสมบูรณ์ของป่าไม้ได้
สรุปหลักการทำงานง่ายๆ ของการตรวจจับจุดความร้อนของ CarbonWatch ก็คือ
- ตรวจจับด้วยดาวเทียมหลายชุด (วันละ 4 รอบ)
- แจ้งเตือนผ่าน LINE ภายใน 2 ชั่วโมง หลังพบไฟ
- ติดตามต่อเนื่องทั้งปี เพื่อใช้เป็นข้อมูลวางแผนและขอคาร์บอนเครดิต
ดังนั้น การตรวจจับจุดความร้อนของเราจึงเป็นระบบที่รวมทั้งความรวดเร็ว (Real-time Alert) และความต่อเนื่อง (Annual Monitoring) เอาไว้ด้วยกัน ทำให้แตกต่างจากการตรวจจับจุดร้อนทั่วไป
การตรวจจับจุดความร้อน (Hotspot Detection) มีความสำคัญอย่างไร
1. การป้องกันและควบคุมไฟป่าอย่างทันท่วงที
- จุดความร้อนเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเกิดไฟป่า
- หากตรวจพบได้เร็ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าดับไฟก่อนลุกลาม จึงช่วยลดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติได้
- ช่วยลดต้นทุนในการดับไฟและการฟื้นฟูป่าในภายหลัง
2. การรักษาทรัพยากรป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพ
- ป่าไม้เป็นบ้านของสัตว์ป่าและพืชพันธุ์หลากชนิด
- ไฟป่าที่ควบคุมไม่ทันจะทำลายระบบนิเวศในวงกว้าง
- Hotspot Detection จึงเป็นด่านแรกที่ช่วยปกป้องความสมบูรณ์ของผืนป่า
3. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ไฟป่าและการเผาในพื้นที่เกษตรปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) และก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก
- การตรวจจับจุดความร้อนช่วยให้ควบคุมการเผาไหม้ได้ทัน ลดการปล่อยคาร์บอนที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน
- ข้อมูลยังสามารถนำไปใช้ในโครงการคาร์บอนเครดิตได้
4. การสนับสนุนการวางแผนเชิงนโยบายและการฟื้นฟู
- ข้อมูลจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้สามารถนำมาใช้วิเคราะห์แนวโน้มการเกิดไฟในระยะยาว
- สนับสนุนการวางแผนป้องกันไฟป่า การจัดการเกษตรที่ยั่งยืนและการฟื้นฟูพื้นที่ที่เสียหาย
- เป็นหลักฐานสำหรับการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ องค์กรท้องถิ่นและโครงการสิ่งแวดล้อม
5. การเพิ่มความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน
- ไฟป่าส่งผลต่อสุขภาพของชุมชน เช่น ปัญหาหมอกควัน PM2.5
- การตรวจจับจุดความร้อนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติหมอกควัน
- ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
การทำงานของการตรวจจับจุดความร้อนของ CarbonWatch VS เจ้าอื่นๆ
1. การใช้ดาวเทียมเชิงพาณิชย์
เจ้าอื่นๆ : มักพึ่งพาดาวเทียม Free Sources เช่น Suomi (VIIRS), Aqua และ Terra (MODIS) ซึ่งมีข้อจำกัดด้านความถี่และความละเอียดของข้อมูล
CarbonWatch : ใช้ดาวเทียมเชิงพาณิชย์ร่วมกับ Free Sources ทำให้มีข้อมูลมากขึ้นและตรวจจับได้บ่อยกว่า โดยดาวเทียมโคจรผ่านประเทศไทยถึง วันละ 4 ครั้ง (เวลา 10.00, 14.00, 22.00 และ 02.00 น.) เพิ่มโอกาสในการตรวจพบจุดความร้อนได้มากขึ้น ลดโอกาสพลาดจุดไฟเล็ก ๆ
2. การแจ้งเตือนผ่าน LINE ที่เข้าถึงง่าย
เจ้าอื่นๆ : ส่วนใหญ่แจ้งเตือนผ่านเว็บไซต์หรือระบบรายงานข้อมูลดิบ ผู้ใช้ต้องเข้าไปค้นหาด้วยตนเอง
CarbonWatch : มีระบบส่งสัญญาณเตือนผ่าน LINE โดยตรงเมื่อเกิดจุดความร้อน ผู้ใช้งานสามารถกดดูพิกัดแล้วติดตามไปยังพื้นที่เกิดไฟได้ทันที ทำให้หน่วยงานหรือผู้เกี่ยวข้องเข้าควบคุมไฟป่าได้อย่างรวดเร็ว จึงช่วยลดความเสียหายและรักษาความสมบูรณ์ของป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การติดตามจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้อย่างต่อเนื่องตลอดปี
เจ้าอื่นๆ : ส่วนมากเน้นการรายงานสถานะขณะเกิดไฟ แต่ขาดระบบติดตามย้อนหลัง
CarbonWatch : มีบริการ Monitoring จุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้ต่อเนื่องทั้งปี ข้อมูลนี้สามารถใช้เป็นหลักฐานยื่นขอรับรองคาร์บอนเครดิตจาก อบก. รวมทั้งประเมินความเสียหาย วางแผนฟื้นฟูและป้องกันไฟป่าในอนาคตได้
4. ความรวดเร็วในการแจ้งเตือน
เจ้าอื่นๆ : การแจ้งเตือนอาจล่าช้าหรือไม่ได้อัพเดตถี่พอ
CarbonWatch : เมื่อดาวเทียมตรวจพบไฟป่า ระบบจะแจ้งเตือนภายใน 2 ชั่วโมงผ่าน LINE ทำให้ผู้ใช้งานมีเวลาตอบสนองก่อนที่ไฟจะลุกลาม
5. ความยืดหยุ่นในการเลือกบริการ :
สิ่งที่แตกต่างอีกประการของการตรวจจับจุดความร้อนของเรามีบริการหลัก 2 แบบ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกใช้บริการใดบริการหนึ่ง หรือใช้ควบคู่กันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด คือ
- บริการแจ้งเตือนจุดความร้อน → ช่วยให้เข้าดับไฟได้เร็ว
- บริการติดตามต่อเนื่องทั้งปี → ช่วยให้เห็นภาพรวมและมีข้อมูลประกอบการวางแผนระยะยาว
ตารางสรุปความแตกต่างของCarbonWatch กับเจ้าอื่น
| ประเด็น | ระบบทั่วไป | CarbonWatch |
|---|---|---|
| แหล่งข้อมูลดาวเทียม | เฉพาะ Free Sources (MODIS, VIIRS) | Free + Commercial Satellites (วันละ 4 รอบ) |
| ช่องทางแจ้งเตือน | เว็บไซต์ / รายงานดิบ | LINE Alert + พิกัดเข้าถึงง่าย |
| ความถี่แจ้งเตือน | จำกัด | ภายใน 2 ชั่วโมงหลังตรวจพบ |
| การติดตามย้อนหลัง | ไม่มี หรือจำกัด | Monitoring ต่อเนื่องทั้งปี |
| การใช้งานเชื่อมโยง | เน้นรายงานไฟป่า | ใช้ยื่นคาร์บอนเครดิต + วางแผนฟื้นฟู |
CarbonWatch แตกต่างจากเจ้าอื่นๆ ไม่เพียงแค่ตรวจจับจุดความร้อนได้ละเอียดและบ่อยขึ้น แต่ยังมีระบบแจ้งเตือนที่เข้าถึงง่ายผ่าน LINE, การติดตามพื้นที่เผาไหม้ต่อเนื่องทั้งปี และการเชื่อมโยงข้อมูลกับการจัดการคาร์บอนเครดิต สิ่งเหล่านี้ทำให้ แพลตฟอร์มของเราเป็นมากกว่าระบบตรวจจับไฟป่า แต่เป็นเครื่องมือบริหารจัดการป่าไม้และสิ่งแวดล้อมเชิงรุก ที่รองรับทั้งการป้องกันและการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจในอนาคต
นอกจากนั้น CarbonWatch ยังเป็นผู้นำเทคโนโลยีอวกาศเพื่อสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนเครดิตรายแรกของไทย ที่ผสานนวัตกรรมของเทคโนโลยีดาวเทียมสำรวจโลกและ AI เพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้ เรามุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการสิ่งแวดล้อม และลดก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างเครดิตคาร์บอน เพื่อลดคาร์บอนอย่างยั่งยืนในตลาด Carbon Credit มาตรฐาน
ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา





