ป่าชุมชนกับบทบาทในการสร้าง Carbon Credit ที่ยั่งยืน
ความหมายของ “ป่าชุมชน” และ “Carbon Credit”
ป่าชุมชน (Community Forest) หมายถึง พื้นที่ป่าที่ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดูแล จัดการและใช้ประโยชน์ร่วมกันภายใต้หลักการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าอย่างยั่งยืน ป่าชุมชนในประเทศไทยมีมากกว่า 10,000 แห่ง (กรมป่าไม้, 2565) และมีบทบาทสำคัญทั้งในด้านระบบนิเวศ เศรษฐกิจและสังคม ส่วนคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คือ สิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณหนึ่ง (มักเทียบเท่ากับ 1 ตันของคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO₂e) ซึ่งสามารถซื้อขายในตลาดคาร์บอนได้ หากชุมชนสามารถปลูกป่าหรือฟื้นฟูป่าเพื่อดูดซับ CO₂ ได้มาก ก็สามารถนำคาร์บอนที่กักเก็บไว้ไปผ่านกระบวนการรับรองและขายในตลาดคาร์บอนเพื่อสร้างรายได้
บทบาทของป่าชุมชนในการสร้างคาร์บอนเครดิต
- การกักเก็บและดูดซับคาร์บอน (Carbon Sequestration) : ต้นไม้ในป่ามีบทบาทในการดูดซับก๊าซ CO₂ จากชั้นบรรยากาศผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง โดยเปลี่ยนคาร์บอนให้กลายเป็นชีวมวล เช่น ลำต้น กิ่ง ใบและราก ระบบรากและดินยังสามารถกักเก็บคาร์บอนในระยะยาวได้อีกด้วย
- การลดการปล่อยคาร์บอนจากการใช้ที่ดิน (REDD+) : หากชุมชนมีการจัดการที่ดี เช่น ลดการบุกรุกพื้นที่ป่า ลดการเผาไร่และป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า ก็สามารถลดการปล่อยคาร์บอนจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ซึ่งสามารถนำมาเป็น Carbon Credit ในโครงการ REDD+ (Reducing Emissions from Deforestation and Forest Degradation) ซึ่งเป็นกลไกภายใต้สหประชาชาติได้
- สร้างแรงจูงใจให้ชุมชนอนุรักษ์ป่า : การที่ชุมชนสามารถสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตได้โดยตรง เป็นแรงจูงใจที่ทรงพลังในการดูแลป่าอย่างยั่งยืน ชุมชนไม่เพียงมองป่าเป็นแหล่งอาหารหรือยารักษาโรคเท่านั้น แต่ยังเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่สามารถเพิ่มมูลค่าในระยะยาว
ป่าชุมชน : ขุมทรัพย์สีเขียว ขับเคลื่อนสู่ Carbon Credit ที่ยั่งยืนในประเทศไทย
ในประเทศไทย กลไกที่รองรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่สำคัญคือ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) ซึ่งบริหารจัดการโดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (TGO)
โดยหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจน คือโครงการ Carbon Credit จากป่าชุมชนในจังหวัดน่าน ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมป่าไม้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และองค์กรภาคเอกชน โดยมีการฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมให้กลายเป็นป่าฟื้นตัว ชุมชนได้รับผลประโยชน์จากการขายคาร์บอนเครดิตผ่านตลาดภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) อีกตัวอย่างคือ โครงการของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ที่ทำงานร่วมกับชุมชนในการอนุรักษ์ป่าในพื้นที่แนวกันชนของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งสามารถนำข้อมูลไปพัฒนาเป็นโครงการคาร์บอนเครดิตในอนาคต (ที่มา : มูลนิธิสืบนาคะเสถียร https://seub.or.th)
กระบวนการเปลี่ยน "ป่าชุมชน" ให้เป็น "Carbon Credit" มีขั้นตอนสำคัญดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: การเตรียมความพร้อมและขึ้นทะเบียนโครงการ
รวมกลุ่มและจัดตั้งคณะกรรมการ : ชุมชนต้องมีความพร้อม มีคณะกรรมการที่เข้มแข็งเพื่อบริหารจัดการโครงการ
- พัฒนาเอกสารข้อเสนอโครงการ (Project Design Document - PDD): เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด โดยต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานพี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษา ในเอกสารจะระบุข้อมูลสำคัญ เช่น
- ขอบเขตพื้นที่ป่า : กำหนดแนวเขตที่ชัดเจน
- การคำนวณกรณีฐาน (Baseline Scenario) : ประเมินว่าหาก "ไม่มี" โครงการนี้ ป่าจะอยู่ในสภาพใด ปริมาณคาร์บอนจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร เพื่อใช้เป็นเส้นฐานในการคำนวณปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บได้ "เพิ่มเติม"
- แผนการติดตามผล : จะตรวจวัดการเจริญเติบโตของต้นไม้และประเมินการกักเก็บคาร์บอนอย่างไร
- ขึ้นทะเบียนโครงการกับ อบก. (TGO) : ยื่นเอกสาร PDD เพื่อให้ อบก. ตรวจสอบและให้การรับรองเบื้องต้น
ขั้นตอนที่ 2: การดำเนินการและการตรวจวัด
ดำเนินกิจกรรมตามแผน : ชุมชนต้องดูแลรักษาป่าตามที่ระบุไว้ในแผน เช่น การปลูกเสริม การลาดตระเวนป้องกันไฟป่าและผู้บุกรุก
- การตรวจวัดและรวบรวมข้อมูล (Monitoring) : ดำเนินการสำรวจและวัดการเจริญเติบโตของต้นไม้ในแปลงตัวอย่างเป็นระยะๆ เช่น วัดขนาดความโตของลำต้น (DBH) ความสูง เพื่อนำไปคำนวณปริมาณมวลชีวภาพและคาร์บอนที่กักเก็บได้ตามหลักวิชาการ
ขั้นตอนที่ 3: การทวนสอบและรับรอง Carbon Credit
จัดทำรายงานการติดตามประเมินผล: รวบรวมข้อมูลจากการตรวจวัดและคำนวณปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บได้จริง
- การทวนสอบโดยผู้ประเมินภายนอก (Validation and Verification Body - VVB ): จ้างหน่วยงานอิสระที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อบก. เข้ามาตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและกระบวนการทั้งหมด ว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่
- การรับรองคาร์บอนเครดิต : เมื่อผ่านการทวนสอบแล้ว อบก. (TGO) จะทำการรับรองและออกใบรับรองคาร์บอนเครดิต หรือที่เรียกว่า "TVERs" ให้กับโครงการตามปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้จริง
ขั้นตอนที่ 4: การนำ Carbon Credit ไปใช้ประโยชน์
เมื่อชุมชนได้รับรองคาร์บอนเครดิตแล้ว สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ 2 แนวทางหลัก คือ
- การขายในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ : ขายให้กับบริษัทหรือองค์กรเอกชนที่ต้องการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง (Carbon Offsetting) เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) หรือเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR)
- เก็บไว้ใช้เอง : ในกรณีที่ชุมชนมีกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก็สามารถนำเครดิตมาชดเชยได้
บทบาทและความยั่งยืน : ทำไมป่าชุมชนจึงเป็นคำตอบ?
- มิติด้านสิ่งแวดล้อม : เมื่อป่าสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชนได้ ก็จะเกิดแรงจูงใจในการปกป้องดูแลรักษาป่าอย่างเข้มแข็ง ลดปัญหาการบุกรุกและไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะพวกเขารู้สึกถึงความเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะมีลักษณะเป็นป่าผสมผสานตามธรรมชาติ ไม่ใช่การปลูกพืชชนิดเดียว จึงเอื้อต่อการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย
- มิติด้านเศรษฐกิจ : การสร้างรายได้จากการขาย Carbon Credit ถือเป็นรายได้โดยตรงที่เข้าสู่กองทุนกลางของชุมชน สามารถนำไปพัฒนาสาธารณประโยชน์ เช่น การศึกษา สาธารณสุขหรือเป็นเงินปันผลให้สมาชิก ฯลฯ นอกจากนั้นยัง เป็นการกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานรากโดยตรง ช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้เสริมเพิ่มจากการเกษตรกรรม
- มิติด้านสังคม : ป่าชุมชน ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน: กระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การจัดตั้ง การวางแผน ไปจนถึงการตรวจวัด ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและความเข้มแข็งขององค์กรชุมชน อีกทั้งยังช่วยรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นในการดูแลรักษาป่าไว้อีกด้วย
การเชื่อมโยงป่าชุมชนเข้ากับกลไก Carbon Credit คือการสร้างวงจรแห่งความยั่งยืนที่สมบูรณ์แบบ เพราะนอกจากนั้นชุมชนจะได้ประโยชน์จากการดูแลป่าแล้ว ภาคธุรกิจเองก็ได้บรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม และประเทศชาติก็ได้ประโยชน์จากการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตามพันธสัญญาระหว่างประเทศ ฉะนั้น การส่งเสริมให้ป่าชุมชนเข้าสู่ตลาด Carbon Credit จึงไม่ใช่แค่การซื้อขายใบรับรอง แต่คือการลงทุนในอนาคตของคน ชุมชนและโลกใบนี้ไปพร้อมกัน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อปลดล็อกศักยภาพอันยิ่งใหญ่นี้ให้เกิดขึ้นจริง
CarbonWatch เราผู้นำเทคโนโลยีอวกาศเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Carbon Credit รายแรกของไทย เราผสานนวัตกรรมดาวเทียมสำรวจโลกและ AI เพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้ เรามุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการสิ่งแวดล้อม และ ลดก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างเครดิตคาร์บอน เพื่อลดคาร์บอนอย่างยั่งยืนในตลาด Carbon Credit มาตรฐาน
ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) – TGO. https://www.tgo.or.th
- United Nations REDD+ Programme. https://www.un-redd.org
- VERRA (Verified Carbon Standard). https://verra.org
- มูลนิธิสืบนาคะเสถียร. https://seub.or.th