ความหมายและความสำคัญของ REDDและ REDD+
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาที่ท้าทายระดับโลก และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถือเป็นเป้าหมายหลักในการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น ในบรรดาแนวทางต่างๆ "REDD" และ "REDD+" เป็นกรอบการทำงานระหว่างประเทศภายใต้การเจรจาของสหประชาชาติ เพื่อใช้มาตรการด้านป่าไม้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการตัดไม้ทำลายป่าและการเสื่อมสภาพของป่า ซึ่งสิ่งที่เพิ่มเข้ามา (เครื่องหมาย “+”) มีผลเชิงนโยบาย เทคนิคและสังคมที่สำคัญต่อการออกแบบโครงการ การจ่ายเงินตามผลงาน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ความเข้าใจพื้นฐาน : REDD (Reducing Emissions from Deforestation and Forest Degradation) และREDD+
REDD เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่า แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า การตัดไม้ทำลายป่าและการทำให้ป่าเสื่อมโทรมเป็นสาเหตุสำคัญของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สู่บรรยากาศ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่มีป่าเขตร้อนอุดมสมบูรณ์แต่มีการตัดไม้ทำลายป่าในอัตราสูง
กลไกของ REDD คือการให้สิ่งจูงใจทางการเงินแก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อเป็นรางวัลสำหรับการลดการทำลายป่าและรักษาพื้นที่ป่าที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยดูดซับและกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้และดินได้มากขึ้น แนวคิดนี้มุ่งเน้นที่การแก้ไขปัญหาเชิงสาเหตุโดยตรง นั่นคือ การหยุดยั้งการทำลายป่า
การพัฒนาของ REDD สู่ REDD+
หลังจากที่มีการเสนอแนวคิด REDD ในช่วงแรก นักวิชาการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ได้เล็งเห็นถึงข้อจำกัดบางประการของ REDD ดั้งเดิม ซึ่งมุ่งเน้นเพียงแค่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ไม่ได้ครอบคลุมมิติอื่นๆ ที่สำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน จึงมีการพัฒนาและขยายขอบเขตของกลไกนี้ให้ครอบคลุมมากขึ้น กลายเป็น "REDD+" โดยตัว "+" หมายถึงการเพิ่มกิจกรรมอีกสามอย่าง ได้แก่
- การอนุรักษ์การกักเก็บคาร์บอนในป่า (Conservation of forest carbon stocks) : การรักษาพื้นที่ป่าที่มีอยู่ให้คงสภาพเดิมและไม่ถูกรบกวน ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้คาร์บอนที่กักเก็บไว้ถูกปล่อยกลับคืนสู่บรรยากาศ
- การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน (Sustainable management of forests) : การใช้ประโยชน์จากป่าอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เช่น การตัดไม้ในปริมาณที่เหมาะสม การปลูกทดแทน และการป้องกันไฟป่า ซึ่งจะช่วยให้ป่ามีสุขภาพดีและสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ต่อเนื่อง
- การเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในป่า (Enhancement of forest carbon stocks) : การเพิ่มปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บไว้ในป่า เช่น การปลูกป่า (reforestation) และการฟื้นฟูป่า (restoration) ในพื้นที่ที่เคยเสื่อมโทรม
ประวัติและพัฒนาการเชิงนโยบายของ REDD และ REDD+
แนวคิดเรื่องการให้มูลค่าคาร์บอนของป่า และเสนอแนวทาง REDD เริ่มถูกนำเข้ากระบวนการ UNFCCC ตั้งแต่กลาง-ปลายทศวรรษ 2000 (เอกสารเสนอโดย Papua New Guinea และ Costa Rica และการพิจารณาใน COPs ถัดมา) โดย COP13 (Bali, 2007) เป็นจุดเริ่มที่ทำให้เรื่อง REDD ขึ้นสู่เวทีหลักของการเจรจา
คำว่า REDD+ และมาตรการขยายขอบเขตถูกสรุปและให้รายละเอียดเชิงเทคนิคทีละขั้น ข้อกำหนดสำคัญ เช่น แนวทาง MRV (measurement, reporting and verification), ระบบข้อมูลการปกป้องสิทธิเกี่ยวกับมาตรการ (safeguards) ถูกยืนยันในชุดการตัดสินใจของ COP ระหว่าง 2009–2013 โดยบทสรุปเชิงปฏิบัติสำคัญที่ชัดเจนมากขึ้นเพื่อการนำไปปฏิบัติระดับประเทศ
ความสำคัญของ "+" (เครื่องหมายบวก) ใน REDD+
- ครอบคลุมมิติเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อม : REDD ดั้งเดิมมุ่งเน้นที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นหลัก ซึ่งอาจละเลยประเด็นสิทธิชุมชน การใช้ประโยชน์จากป่าของชนเผ่าพื้นเมือง หรือผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ REDD+ มีการบูรณาการกิจกรรมเพิ่มเติมที่ช่วยให้สามารถจัดการประเด็นเหล่านี้ได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น เช่น การจัดการป่าอย่างยั่งยืน ซึ่งช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและบริการจากระบบนิเวศอื่นๆ
- สร้างแรงจูงใจที่ครอบคลุม : การให้รางวัลสำหรับการอนุรักษ์ การจัดการป่าอย่างยั่งยืนและการปลูกป่า ทำให้ประเทศต่างๆ มีแรงจูงใจมากขึ้นในการลงทุนในกิจกรรมเหล่านี้ ไม่ใช่แค่เพียงการหยุดยั้งการตัดไม้เท่านั้น ซึ่งช่วยสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับพื้นที่ป่า
- ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน : "+" ไม่ใช่แค่การเพิ่มกิจกรรมทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการบูรณาการหลักการของการพัฒนาอย่างยั่งยืนเข้าไปในกลไกนี้ด้วย การดำเนินการ REDD+ ที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องคำนึงถึงประเด็นด้านสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ
กล่าวโดยสรุป REDD คือกลไกพื้นฐานที่มุ่งเน้นการ "ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่า" ในขณะที่ REDD+ เป็นการพัฒนาและต่อยอดแนวคิดนี้ โดยการเพิ่มกิจกรรมที่สำคัญอีกสามอย่าง ได้แก่ การอนุรักษ์ การจัดการอย่างยั่งยืนและการเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในป่า ความสำคัญของ "+" ไม่ได้อยู่แค่เพียงการเพิ่มขอบเขตของกิจกรรม แต่ยังเป็นการยกระดับกลไกนี้ให้ครอบคลุมมิติทางสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับโลก
ในท้ายที่สุด การจะบรรลุเป้าหมายของ REDD+ ได้อย่างแท้จริง การติดตามและประเมินผลคือสิ่งสำคัญ CarbonWatch เป็นเครื่องมือดิจิทัลที่ทันสมัย ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของปริมาณคาร์บอนในป่าได้อย่างแม่นยำและแบบเรียลไทม์ ทำให้การดำเนินงานโปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้เราเห็นภาพรวมที่ชัดเจนของการป้องกันการบุกรุกและการเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างเป็นรูปธรรม
ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา

เอกสารอ้างอิง
- UNFCCC — REDD+ workstream / fact sheets
- UN-REDD Programme — What is REDD+ / About REDD+ (fact sheet)
- FAO — REDD+ overview
- Warsaw Framework for REDD+ (COP19 summary / UNFCCC fact sheet)
- UNFCCC Decision 1/CP.16 (Cancún safeguards) — เอกสารการตัดสินใจ (PDF)
- World Bank / FCPF and history of REDD initiatives
- คำอธิบายและข้อวิจารณ์จากภาคประชาสังคม (เช่น Carbon Market Watch, IWGIA) — ประเด็นเกี่ยวกับสิทธิชุมชนและความเสี่ยงของ REDD+
- The History of REDD Policy




