กระบวนการทำงานของเทคโนโลยีดาวเทียมในการตรวจวัด Carbon Credit
Carbon Credit ที่มาจากการอนุรักษ์หรือฟื้นฟูป่าเป็นเครื่องมือเดินหน้าแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบ Nature-Based Solutions โดยเฉพาะในตลาดคาร์บอนทั้งในภาครัฐและเอกชน การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ (MRV – Monitoring, Reporting and Verification)
โดยกระบวนการ MRV คือการตรวจวัด รายงานและทวนสอบที่แม่นยำ คือหัวใจสำคัญที่ทำให้กลไกนี้โปร่งใสและน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดบนบก ในอดีตการประเมินคาร์บอนในพื้นที่ป่าต้องอาศัยการสำรวจภาคพื้นดิน ซึ่งใช้ต้นทุนสูง ใช้เวลานานและเผชิญกับข้อจำกัดในการเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล แต่ปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีดาวเทียมได้เข้ามาปฏิวัติกระบวนการนี้อย่างสิ้นเชิง ด้วยการมอบมุมมองจากฟากฟ้าที่ครอบคลุม แม่นยำและต่อเนื่อง ช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดคาร์บอนเครดิตทั่วโลก
โครงการ Carbon Credit จากป่าไม้ (Forestry Carbon Projects) สามารถแบ่งได้หลักๆ ดังนี้
- การปลูกป่าและฟื้นฟูป่า (Afforestation/Reforestation - AR) : การปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่ไม่เคยเป็นป่าหรือเคยเป็นป่าในอดีต ต้นไม้ที่เติบโตจะดูดซับ CO2 จากบรรยากาศมาเก็บไว้ในรูปของมวลชีวภาพ (Biomass)
- การหลีกเลี่ยงการตัดไม้ทำลายป่า (Avoided Deforestation - REDD+) : การปกป้องพื้นที่ป่าที่กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงสูงที่จะถูกทำลาย ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้คาร์บอนที่ถูกกักเก็บไว้ในต้นไม้และดินถูกปล่อยสู่บรรยากาศ
ความท้าทายของโครงการเหล่านี้คือ จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าป่าสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ตามที่กล่าวอ้างจริง? และนี่คือจุดที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ
กระบวนการทำงานของเทคโนโลยีดาวเทียมในการตรวจวัดคาร์บอน
เทคโนโลยีดาวเทียมสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) ไม่ได้เป็นเพียงการถ่ายภาพทางอากาศ แต่เป็นการใช้เซ็นเซอร์ที่หลากหลายเพื่อเก็บข้อมูลที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และนำมาวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้
- การเก็บข้อมูลจากดาวเทียม (Data Acquisition) ดาวเทียมประเภทต่างๆ จะถูกใช้ร่วมกันเพื่อเก็บข้อมูลที่สมบูรณ์ที่สุด ดังนี้
- ดาวเทียมสำรวจด้วยแสง : ทำหน้าที่เหมือนกล้องถ่ายรูปความละเอียดสูงที่โคจรรอบโลก สามารถบันทึกภาพในช่วงคลื่นที่ตามองเห็นและอินฟราเรดใกล้ (Near-Infrared) ข้อมูลนี้ใช้ในการจำแนกประเภทการใช้ที่ดิน โดยแยกพื้นที่ป่าออกจากพื้นที่เกษตรกรรม แหล่งน้ำหรือชุมชน, ประเมินความหนาแน่นของพืชพรรณผ่านดัชนีพืชพรรณต่างๆ เช่น NDVI (Normalized Difference Vegetation Index) ซึ่งบ่งบอกถึงสุขภาพและความสมบูรณ์ของป่า รวมถึงการตรวจจับการเปลี่ยนแปลง เปรียบเทียบภาพถ่ายในช่วงเวลาต่างๆ เพื่อดูการบุกรุกทำลายป่าหรือการเติบโตของป่าที่ปลูกใหม่
- ดาวเทียมเรดาร์ (Radar/SAR - Synthetic Aperture Radar) : คือเทคโนโลยีดาวเทียม ที่ใช้การส่งคลื่นไมโครเวฟลงไปยังพื้นผิวโลกและวัดสัญญาณที่สะท้อนกลับมา มีข้อดีคือสามารถทะลุทะลวงเมฆ หมอกและทำงานได้ทั้งกลางวันกลางคืน ข้อมูลจากเรดาร์มีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินโครงสร้าง 3 มิติของป่า โดยสัญญาณเรดาร์สามารถทะลุเรือนยอดไม้ลงไปได้ ทำให้สามารถประเมินความซับซ้อนของโครงสร้างป่าได้ นอกจากนั้นยังใช้ประเมินมวลชีวภาพเหนือพื้นดิน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการคำนวณปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บไว้
- ดาวเทียมไลดาร์ (LiDAR - Light Detection and Ranging) :เป็นเทคโนโลยีดาวเทียม ที่ถือเป็นมาตรฐานทองคำในการวัดความสูงและโครงสร้างของป่า LiDAR ทำงานโดยการยิงแสงเลเซอร์ลงมายังพื้นโลกและจับเวลาที่แสงใช้ในการเดินทางกลับมา ทำให้สามารถสร้างแบบจำลอง 3 มิติของป่าได้อย่างแม่นยำและละเอียดอย่างยิ่ง เช่น วัดความสูงของต้นไม้และเรือนยอด ซึ่งเป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อการคำนวณมวลชีวภาพหรือการสร้างแผนที่ภูมิประเทศใต้เรือนยอด ที่ช่วยให้เข้าใจลักษณะทางกายภาพของพื้นที่โครงการ
- ดาวเทียมสำรวจด้วยแสง : ทำหน้าที่เหมือนกล้องถ่ายรูปความละเอียดสูงที่โคจรรอบโลก สามารถบันทึกภาพในช่วงคลื่นที่ตามองเห็นและอินฟราเรดใกล้ (Near-Infrared) ข้อมูลนี้ใช้ในการจำแนกประเภทการใช้ที่ดิน โดยแยกพื้นที่ป่าออกจากพื้นที่เกษตรกรรม แหล่งน้ำหรือชุมชน, ประเมินความหนาแน่นของพืชพรรณผ่านดัชนีพืชพรรณต่างๆ เช่น NDVI (Normalized Difference Vegetation Index) ซึ่งบ่งบอกถึงสุขภาพและความสมบูรณ์ของป่า รวมถึงการตรวจจับการเปลี่ยนแปลง เปรียบเทียบภาพถ่ายในช่วงเวลาต่างๆ เพื่อดูการบุกรุกทำลายป่าหรือการเติบโตของป่าที่ปลูกใหม่
- การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI และ Machine Learning โดยข้อมูลมหาศาลที่ได้จากดาวเทียมจะถูกนำมาประมวลผลด้วยแบบจำลองคอมพิวเตอร์และอัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดังนี้
- การสร้างแบบจำลองมวลชีวภาพ (Biomass Modeling) : ทีมGeospatial Intelligence จะสร้างแบบจำลอง Machine Learning โดยใช้ข้อมูลภาคพื้นดินที่เก็บจากพื้นที่ตัวอย่าง (Ground-Truthing) เพื่อสอน AI ให้เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลดาวเทียม (เช่น ค่าสีจากภาพถ่าย, สัญญาณเรดาร์, ความสูงจาก LiDAR) กับปริมาณมวลชีวภาพจริง
- การสร้างแผนที่คาร์บอน (Carbon Mapping) : เมื่อ AI เรียนรู้แล้ว ก็จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลดาวเทียมในพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อสร้าง "แผนที่การกักเก็บคาร์บอน" (Carbon Stock Map) ที่แสดงให้เห็นว่าคาร์บอนถูกเก็บไว้ที่ใดบ้างและในปริมาณเท่าใด
- การตรวจจับการเปลี่ยนแปลง (Change Detection) : อัลกอริทึมจะเปรียบเทียบข้อมูลดาวเทียม ณ เวลาเริ่มต้นของโครงการกับข้อมูลในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง เพื่อตรวจจับและวัดขนาดของพื้นที่ป่าที่ถูกทำลายหรือพื้นที่ป่าที่เติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
- การทวนสอบและออกรายงาน ผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียมจะถูกนำมาจัดทำเป็นรายงานเพื่อยื่นต่อองค์กรมาตรฐานสากล เช่น T-VER Verra หรือ Gold Standard เพื่อขอการรับรอง Carbon Credit ซึ่งกระบวนการนี้มีความโปร่งใส เพราะทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลดาวเทียมและตรวจสอบย้อนกลับได้ การใช้เทคโนโลยีเดียวกันทำให้สามารถเปรียบเทียบโครงการจากต่างพื้นที่กันได้บนมาตรฐานเดียวกัน นอกจากนั้นยัง ลดความจำเป็นในการส่งทีมลงพื้นที่สำรวจขนาดใหญ่ ทำให้สามารถขยายผลโครงการไปยังพื้นที่ที่เข้าถึงยากได้อีกด้วย
บริษัทและแพลตฟอร์มชั้นนำที่ใช้เทคโนโลยีดาวเทียม
ปัจจุบันมีบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมากที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียมเพื่อตลาดคาร์บอนโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตลาดนี้ เช่น
- Pachama: สตาร์ทอัพชื่อดังที่ใช้ AI และข้อมูลดาวเทียมหลากหลายประเภท (Optical, LiDAR, Radar) ในการประเมินและติดตามโครงการป่าไม้ทั่วโลก เพื่อให้ผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตมั่นใจในคุณภาพของโครงการ
- Sylvera: แพลตฟอร์มจัดอันดับคุณภาพของคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Rating) ที่ใช้ข้อมูลดาวเทียมและ Machine Learning ในการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของโครงการต่าง ๆ อย่างเป็นกลาง
- Planet Labs: ผู้ให้บริการดาวเทียมเชิงพาณิชย์ที่มีกลุ่มดาวเทียมขนาดเล็กจำนวนมาก ทำให้สามารถถ่ายภาพพื้นผิวโลกได้เกือบทุกวัน ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งในการติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น การลักลอบตัดไม้
- Maxar Technologies: ผู้ให้บริการภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูงพิเศษ ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์รายละเอียดของพื้นที่โครงการได้อย่างลึกซึ้ง
ข้อมูลที่ได้จากดาวเทียมจะถูกนำไปใช้ในกระบวนการรับรองขององค์กรมาตรฐานชั้นนำของโลก เพื่อให้แน่ใจว่า Carbon Credit ที่เกิดขึ้นมีคุณภาพและสร้างผลกระทบเชิงบวกจริง โดยองค์กรมาตรฐานที่กำกับดูแลมีดังนี้
- Verra (Verified Carbon Standard - VCS) : องค์กรมาตรฐานที่ใหญ่ที่สุดในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ มีการพัฒนาระเบียบวิธี (Methodology) ที่ยอมรับการใช้ข้อมูลดาวเทียมในการตรวจวัดและทวนสอบ
- Gold Standard : อีกหนึ่งองค์กรมาตรฐานชั้นนำที่เน้นย้ำเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับการลดก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการติดตามผล
- องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) : องค์กรของประเทศไทยที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดมาตรฐานและตรวจประเมินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ (Thailand Voluntary Emission Reduction Program – T-VER) โดยให้การรับรองและพิจารณาการใช้ข้อมูลจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ข้อมูลจากดาวเทียม เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและแม่นยำในการวัดผลโครงการ
เทคโนโลยีดาวเทียม ได้เปลี่ยนมุมมองของเราต่อผืนป่า จากพื้นที่ห่างไกลที่ยากต่อการวัดผลให้กลายเป็นสินทรัพย์ทางภูมิอากาศ ที่สามารถตรวจวัด ติดตามและประเมินมูลค่าได้อย่างโปร่งใสและน่าเชื่อถือ การผนวกสายตาจากอวกาศเข้ากับพลังของปัญญาประดิษฐ์ ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับมาตรฐานของตลาด Carbon Credit แต่ยังเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่จะช่วยให้มนุษยชาติสามารถปกป้องและฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการต่อสู้กับวิกฤตโลกร้อนได้อย่างยั่งยืนต่อไป
CarbonWatch เราผู้นำเทคโนโลยีอวกาศเพื่อสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนเครดิตรายแรกของไทย เราผสานนวัตกรรมดาวเทียมสำรวจโลกและ AI เพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้ เรามุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการสิ่งแวดล้อม และ ลดก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างเครดิตคาร์บอน เพื่อลดคาร์บอนอย่างยั่งยืนในตลาด Carbon Credit มาตรฐาน
ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา

แหล่งข้อมูลสำคัญ: ดาวเทียม Landsat (NASA/USGS), ดาวเทียม Sentinel (European Space Agency - ESA)
แหล่งข้อมูลสำคัญ: ดาวเทียม Sentinel-1
แหล่งข้อมูลสำคัญ: ภารกิจ GEDI (Global Ecosystem Dynamics Investigation) ที่ติดตั้งบนสถานีอวกาศนานาชาติ