ความรู้ทั่วไป

Carbon Credit กับ ESG บริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมได้เปรียบอย่างไรในตลาดทุน

Carbon Credit กับ ESG บริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมได้เปรียบอย่างไรในตลาดทุน

Carbon Credit กับ ESG : กุญแจสู่ความได้เปรียบในตลาดทุนของบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

อย่างที่ทราบกันดีว่า กระแสความยั่งยืนได้กลายเป็นเมกะเทรนด์ที่ขับเคลื่อนทิศทางของเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก ส่งผลให้แนวคิดการดำเนินธุรกิจแบบคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล หรือ ESG (Environmental, Social, and Governance) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและภาคธุรกิจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อมและกำลังทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ คือคาร์บอนเครดิต ( Carbon Credit ) 


โดยบทความนี้จะเจาะลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองสิ่งนี้ที่กลายเป็นกรอบสำคัญในการประเมินศักยภาพและความน่าเชื่อถือขององค์กรในตลาดทุน และกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก นักลงทุน สถาบันการเงิน และผู้บริโภคต่างหันมาให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังจะสามารถสร้างความได้เปรียบในตลาดทุนได้อย่างไร

ทำความรู้จัก Carbon Credit และ ESG

ESG คือแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนโดยให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. สิ่งแวดล้อม (Environmental) : การจัดการผลกระทบที่กิจกรรมขององค์กรมีต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการของเสียและมลพิษและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
  2. สังคม (Social) : การดูแลเอาใจใส่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ตั้งแต่พนักงานในองค์กร (สวัสดิภาพ ความปลอดภัย ความเท่าเทียม) ลูกค้า คู่ค้า ไปจนถึงชุมชนที่องค์กรตั้งอยู่
  3. ธรรมาภิบาล (Governance) : การกำกับดูแลกิจการที่ดี มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันและเคารพสิทธิของผู้ถือหุ้น

ส่วน Carbon Credit คือสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสามารถซื้อขายได้ในตลาดคาร์บอน ซึ่งเกิดขึ้นจากโครงการต่างๆ ที่มีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น โครงการปลูกป่า, โครงการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน (พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม), โครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานหรือโครงการจัดการของเสีย ฯลฯ โดยโครงการเหล่านี้เมื่อผ่านการตรวจสอบและรับรองจากมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล (เช่น Verified Carbon Standard - VCS, Gold Standard - GS) ก็จะได้รับคาร์บอนเครดิตซึ่งสามารถนำไปขายให้กับองค์กรหรือบุคคลอื่นที่ต้องการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองได้


การผสานพลังของ Carbon Credit และ ESG สร้างความได้เปรียบในตลาดทุนหลายมิติ ดังนี้

  1. เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและลดต้นทุนทางการเงิน : ปัจจุบันนักลงทุนทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีคะแนน ESG สูง กองทุนชั้นนำหลายแห่ง เช่น BlackRock ได้ประกาศนโยบายชัดเจนว่าจะให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่ยั่งยืน การมีคะแนน ESG ที่ดีจึงเปรียบเสมือนใบเบิกทางสู่แหล่งเงินทุนขนาดใหญ่

    การใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นการกระทำที่ชัดเจนในการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัท ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการประเมินคะแนน ESG ให้สูงขึ้น เมื่อบริษัทมีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่ำลง สถาบันการเงินและนักลงทุนจะมองว่าบริษัทมีความเสี่ยงโดยรวมลดลง นำไปสู่ต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถูกกว่า หรือเงื่อนไขการออกหุ้นกู้ (Green Bond) ที่น่าดึงดูดใจกว่า

  2. สร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร : ในยุคที่ผู้บริโภคใส่ใจในที่มาของสินค้าและบริการ การที่บริษัทแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการลดการปล่อยคาร์บอนและการใช้ Carbon Credit จะช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะดึงดูดลูกค้าและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ แต่ยังรวมถึงการดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพให้เข้ามาร่วมงานกับองค์กรด้วย ซึ่งนักลงทุนเองก็มองว่าชื่อเสียงที่ดีเป็นสินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้ การลงทุนในบริษัทที่มีภาพลักษณ์ดีช่วยลดความเสี่ยงด้านชื่อเสียง ที่อาจเกิดจากประเด็นทางลบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมได้

  3. เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและสร้างนวัตกรรม : กระบวนการที่จะนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการได้รับ Carbon Credit มักจะกระตุ้นให้บริษัทต้องหันกลับมาทบทวนกระบวนการผลิตของตนเองอย่างละเอียด ซึ่งบ่อยครั้งนำไปสู่การค้นพบวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เช่น การลดการใช้พลังงาน หรือการลดของเสียในกระบวนการผลิต ซึ่งล้วนแต่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงโดยตรง

    นอกจากนี้ ความพยายามในการลดคาร์บอนยังเป็นแรงผลักดันสำคัญที่นำไปสู่การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวได้อีกด้วย

  4. การประเมินมูลค่าบริษัทที่สูงขึ้นและผลการดำเนินงานของหุ้นที่ดีขึ้น : มีผลการศึกษาจำนวนมากชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างผลการดำเนินงานด้าน ESG และผลประกอบการทางการเงินของบริษัท บริษัทที่มี ESG โดดเด่นมักจะมีความสามารถในการทำกำไรที่มั่นคงและยั่งยืนกว่า นักวิเคราะห์และนักลงทุนจึงมักจะให้มูลค่าที่สูงกว่าแก่บริษัทเหล่านี้ เนื่องจากมองเห็นศักยภาพในการเติบโตและมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าในระยะยาว

  5. เตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบและแรงกดดันจากตลาดโลก : ปัจจุบันในหลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะในสหภาพยุโรป ได้เริ่มใช้มาตรการทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism - CBAM) ซึ่งจะเรียกเก็บภาษีคาร์บอนจากสินค้านำเข้าที่มีกระบวนการผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง

บริษัทที่ได้เตรียมความพร้อมโดยการวัดผลและลดการปล่อยคาร์บอนของตนเอง รวมถึงมีการใช้ Carbon Credit อย่างมีกลยุทธ์ จะมีความพร้อมและได้เปรียบในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดเหล่านี้ สามารถหลีกเลี่ยงภาระภาษีและรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าโลกไว้ได้ นั่นเอง


ตัวอย่างบริษัทที่ประสบความสำเร็จจาก ESG และ Carbon Credit 

  • Microsoft: ประกาศจะเป็น “Carbon Negative” ภายในปี 2030 และลงทุนในโครงการดูดซับคาร์บอนขั้นสูง
  • PTT Global Chemical (GC) : เป็นบริษัทในไทยที่เข้าร่วมตลาดซื้อขาย Carbon Credit และได้คะแนน ESG Rating ระดับ A จาก MSCI

โดยแนวโน้มในอนาคต ESG จะเข้มข้นขึ้นจากทั้งแรงผลักดันจากผู้ลงทุนและกฎหมาย  Carbon Credit จะไม่ใช่แค่ทางเลือกแต่จะกลายเป็นกลไกสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือและมูลค่าทางการเงินขององค์กร นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือระดับสากล เช่นความตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่ช่วยให้ประเทศและบริษัทสามารถซื้อขายเครดิตกันข้ามพรมแดนอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้

บริษัทที่ตระหนักและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง มีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นในสายตาผู้บริโภค ที่สำคัญคือการสร้างภูมิคุ้มกันและความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายของโลกอนาคต ดังนั้น  Carbon Credit และ ESG จึงไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นกุญแจสำคัญที่จะไขประตูสู่ความสำเร็จและความยั่งยืนขององค์กรในตลาดทุนยุคใหม่อย่างแท้จริง

CarbonWatch เราผู้นำเทคโนโลยีอวกาศเพื่อสิ่งแวดล้อม และคาร์บอนเครดิตรายแรกของไทย เราผสานนวัตกรรมดาวเทียมสำรวจโลกและ AI เพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้ เรามุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการสิ่งแวดล้อม และ ลดก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างเครดิตคาร์บอน เพื่อลดคาร์บอนอย่างยั่งยืนในตลาด  Carbon Credit มาตรฐาน

ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา


แหล่งข้อมูล : European Commission –
Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM)

เทคโนโลยีอื่นๆ

คำถามที่พบบ่อย

No items found.

เริ่มต้นกับ CarbonWatch

"ลงทะเบียนและเริ่มสร้างโครงการของคุณได้ง่าย ๆ สัมผัสกับบริการจัดการคาร์บอน การกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้
แบบครบวงจร ที่พร้อมช่วยให้การจัดการของคุณเป็นเรื่องง่าย"

เริ่มเลย