ความรู้ทั่วไป

นวัตกรรมด้านพลังงานสะอาดกับการสร้าง Carbon Credit

นวัตกรรมด้านพลังงานสะอาดกับการสร้าง Carbon Credit

ทำไม? พลังงานสะอาดจึงเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการสร้าง "Carbon Credit"

คาร์บอนเครดิต" (Carbon Credit) จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในฐานะเครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้กับการลงทุนในนวัตกรรมพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างไฮโดรเจนสีเขียวและระบบกักเก็บพลังงาน เป็นต้น บทความนี้จะเจาะลึกถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างนวัตกรรมพลังงานสะอาดและการสร้างคาร์บอนเครดิต ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐานไปจนถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยและบทบาทในบริบทของประเทศไทย


ทำความเข้าใจแกนหลักของพลังงานสะอาดและCarbon Credit

ก่อนจะเชื่อมโยงทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกัน เราจำเป็นต้องเข้าใจนิยามและความสำคัญของแต่ละส่วนก่อน ดังนี้

พลังงานสะอาด (Clean Energy) คือพลังงานที่ได้จากแหล่งหมุนเวียน ซึ่งในกระบวนการผลิตและใช้งานมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยมากหรือเป็นศูนย์ แหล่งพลังงานสะอาดที่สำคัญ ได้แก่

พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) : การเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยใช้เซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell)

พลังงานลม (Wind Energy) : การใช้กังหันลมเปลี่ยนพลังงานจลน์ของลมเป็นพลังงานกลและพลังงานไฟฟ้า

พลังงานน้ำ (Hydropower) : การใช้พลังงานศักย์ของน้ำที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำมาหมุนกังหันเพื่อผลิตไฟฟ้า

พลังงานชีวมวล (Biomass) : การใช้สารอินทรีย์ เช่น ของเสียจากการเกษตร (แกลบ ชานอ้อย) หรือมูลสัตว์ มาเผาไหม้โดยตรงหรือผ่านกระบวนการแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง

พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) : การนำความร้อนจากแกนโลกมาใช้ผลิตไฟฟ้าและทำความร้อน

คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คือ "สิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก" ที่สามารถซื้อขายได้ โดย 1 คาร์บอนเครดิต มีค่าเท่ากับการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกในปริมาณ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2​e) โดยแนวคิดหลักคือ การสร้างมูลค่าให้กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โครงการที่สามารถลดการปล่อยก๊าซฯ ได้ต่ำกว่าและลดได้ ให้กลายเป็นคาร์บอนเครดิตและนำไปขายในตลาดให้กับองค์กรหรือประเทศที่ต้องการชดเชยการปล่อยก๊าซฯ ของตนเอง


นวัตกรรมที่เข้ามาปลดล็อกศักยภาพการสร้าง Carbon Credit

  1. นวัตกรรมด้านพลังงานแสงอาทิตย์และลม :
    1. แผงโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูง : เทคโนโลยีอย่าง PERC, TOPCon หรือ Bifacial (ที่รับแสงได้สองด้าน) ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม ส่งผลให้หลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซฯ ได้มากขึ้นและสร้างเครดิตได้เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังมีระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop)บ้านหรืออาคารพาณิชย์ โดยสามารถลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และสามารถนำหน่วยพลังงานสะอาดที่ผลิตได้ไปคำนวณเป็น Carbon Credit ได้ ผ่านโครงการลดก๊าซเรือนกระจกขององค์กร เช่น T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program)
    2. โซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) : เป็นนวัตกรรมที่เหมาะกับประเทศที่มีพื้นที่ผิวน้ำจำนวนมากอย่างไทย ช่วยลดการใช้ที่ดินและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจากผลของการระบายความร้อนด้วยน้ำ
    3. กังหันลมขนาดใหญ่และนอกชายฝั่ง (Offshore Wind) : กังหันลมยุคใหม่มีขนาดใหญ่ขึ้นและสามารถติดตั้งในทะเลซึ่งมีกระแสลมแรงและสม่ำเสมอกว่าบนบก ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มหาศาลและสร้างคาร์บอนเครดิตได้เป็นจำนวนมาก
  2. ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage Systems - ESS) : เช่น แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ช่วยแก้ปัญหาความไม่เสถียรของพลังงานแสงอาทิตย์และลม (ที่มีเฉพาะตอนกลางวันหรือเมื่อลมพัด) โดยการเก็บพลังงานส่วนเกินไว้ใช้ในช่วงที่ไม่มีแสงแดดหรือลมสงบ

    ในมุมของ Carbon Credit นั้น ESS ทำให้พลังงานสะอาดสามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถแทนที่โรงไฟฟ้าฟอสซิลที่ต้องเดินเครื่องตลอด 24 ชั่วโมงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างก้าวกระโดด

    แม้การผลิตพลังงานหมุนเวียนมักมีความผันผวน การติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานจึงช่วยให้การจ่ายพลังงานมีเสถียรภาพ ซึ่งช่วยลดการใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าฟอสซิล โดยสามารถนำส่วนลดการปล่อยคาร์บอนมาคำนวณเป็น Carbon Credit ได้

  3. พลังงานจากชีวมวลและขยะ (Biomass & Waste-to-Energy) : นวัตกรรมการแปรรูปของเสียทางการเกษตรหรือขยะชุมชน เป็นพลังงานไฟฟ้า ไม่เพียงแต่สร้างพลังงานสะอาด แต่ยังช่วยแก้ปัญหามลพิษจากการเผาในที่โล่ง (เช่น ฝุ่น PM2.5) และการฝังกลบขยะที่ก่อให้เกิดก๊าซมีเทนซึ่งรุนแรงกว่า CO2​ โครงการประเภทนี้จึงสามารถสร้าง Carbon Credit ได้จากการหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซถึงสองทาง

    ในภาคเกษตรกรรม โรงงานแปรรูปทางการเกษตร เช่น โรงสี โรงงานน้ำตาล หรือฟาร์มปศุสัตว์ สามารถนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น เปลือกข้าว ซังข้าวโพดหรือมูลสัตว์ ไปผลิตไฟฟ้าและก๊าซชีวภาพได้ ซึ่งโครงการเหล่านี้ได้รับการรับรองให้สามารถสร้าง Carbon Credit ได้ภายใต้กลไก CDM (Clean Development Mechanism) หรือ T-VER

  4. ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) : แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ไฮโดรเจนสีเขียวที่ผลิตจากการใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาดมาแยกน้ำ (Electrolysis) ถือเป็นสุดยอดนวัตกรรมแห่งอนาคต สามารถนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมหนักและการขนส่งที่ยากต่อการลดคาร์บอน โครงการผลิตและใช้ไฮโดรเจนสีเขียวแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลจะมีศักยภาพในการสร้าง Carbon Credit มหาศาลในอนาคต

  5. ดิจิตอลและปัญญาประดิษฐ์ (Digitalization & AI) : เช่น โครงการ Smart Grid เพื่อบริหารจัดการการจ่ายไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดหลายๆ แห่งให้มีเสถียรภาพสูงสุด รวมถึงการใช้ AI และ Machine Learning ในการพยากรณ์ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดและลมได้อย่างแม่นยำ ช่วยในการวางแผนการผลิต และที่สำคัญคือช่วยในการทำ Monitoring, Reporting, and Verification (MRV) สำหรับ Carbon Credit ให้มีความแม่นยำและโปร่งใสยิ่งขึ้น อาจรวมถึงการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในการติดตามและซื้อขายเครดิตเพื่อป้องกันการนับซ้ำ


ความเชื่อมโยงระหว่างพลังงานสะอาดและ Carbon Credit

การใช้พลังงานสะอาดช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยตรง ส่งผลให้ลดการปล่อยคาร์บอน หากโครงการพลังงานสะอาดมีการวัดและรับรองผลการลดการปล่อยอย่างเป็นระบบ ก็สามารถสร้าง Carbon Credit ได้ทันที เช่น

เทคโนโลยีพลังงานสะอาด

วิธีการลดคาร์บอน

ผลประโยชน์

Solar Rooftop

ลดไฟจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน

ลดค่าไฟ + Carbon Credit

โรงไฟฟ้าชีวมวล

ใช้ของเหลือเป็นพลังงานแทนฟอสซิล

สร้างรายได้จากขายไฟ + เครดิต

ระบบกักเก็บพลังงาน

ลดความจำเป็นต้องใช้โรงไฟฟ้าพีค

พลังงานสะอาดมีเสถียรภาพ

ไฮโดรเจนสีเขียว

ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในอุตสาหกรรม

ลดการปล่อยในภาคยากต่อการลด

แม้ศักยภาพจะสูง แต่ก็ยังมีความท้าทายอยู่บ้าง เช่น

  • ความซับซ้อนของกระบวนการ การขึ้นทะเบียนและทวนสอบคาร์บอนเครดิตมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและใช้ต้นทุนสูง
  • ความเป็นส่วนเพิ่ม : โครงการต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า การลงทุนเกิดขึ้นได้เพราะมีรายได้จากคาร์บอนเครดิตเป็นส่วนเพิ่ม และไม่ได้เป็นโครงการที่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์อยู่แล้ว
  • ความผันผวนของราคา: ราคา Carbon Credit ในตลาดภาคสมัครใจยังคงมีความผันผวน

อย่างไรก็ตาม อนาคตยังคงสดใสอย่างยิ่ง แรงกดดันจากประชาคมโลก ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ภาคธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั่วโลกต่างให้คำมั่นสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศ จะทำให้ความต้องการคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงจากโครงการพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยเองก็เช่นกัน เราตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 โดยตลาดคาร์บอนในประเทศไทยกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วผ่านการสนับสนุนจาก TGO (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก) และโครงการพลังงานสะอาดมีการเติบโตสูง โดยเฉพาะในภาคเอกชน

นวัตกรรมด้านพลังงานสะอาดไม่เพียงแต่เป็นคำตอบในการแก้ปัญหาด้านพลังงาน แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอนและสร้างรายได้เสริมผ่าน Carbon Credit การส่งเสริมและลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้จึงเป็นแนวทางสำคัญของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน ควบคู่กับการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่กำลังทวีความรุนแรงในปัจจุบัน

CarbonWatch เราผู้นำเทคโนโลยีอวกาศเพื่อสิ่งแวดล้อม และคาร์บอนเครดิตรายแรกของไทย เราผสานนวัตกรรมดาวเทียมสำรวจโลกและ AI เพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้ เรามุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการสิ่งแวดล้อม และ ลดก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างเครดิตคาร์บอน เพื่อลดคาร์บอนอย่างยั่งยืนในตลาด Carbon Credit มาตรฐาน

ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา


ที่มาของข้อมูล :

เทคโนโลยีอื่นๆ

คำถามที่พบบ่อย

No items found.

เริ่มต้นกับ CarbonWatch

"ลงทะเบียนและเริ่มสร้างโครงการของคุณได้ง่าย ๆ สัมผัสกับบริการจัดการคาร์บอน การกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้
แบบครบวงจร ที่พร้อมช่วยให้การจัดการของคุณเป็นเรื่องง่าย"

เริ่มเลย