ป่าชุมชนกับการเข้าถึงตลาดคาร์บอนระดับประเทศและนานาชาติ
โอกาสและความท้าทายของป่าชุมชนกับการเข้าถึงตลาดคาร์บอน
ป่าชุมชน (community forest) มีบทบาทสำคัญในการกักเก็บคาร์บอนและเป็นแนวทางที่ยั่งยืนในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ในหลายพื้นที่ ชุมชนร่วมกันดูแลป่า หลีกเลี่ยงการตัดไม้ทำลายป่า และเร่งฟื้นฟูระบบนิเวศ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (GHG) โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนสามารถจัดทำโครงการคาร์บอนเครดิตเพื่อขายในตลาดทั้งระดับชาติและระหว่างประเทศได้
ดังนั้น ป่าชุมชน จึงถือเป็นมรดกอันล้ำค่าที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนและรักษาสมดุลของระบบนิเวศมาอย่างยาวนาน การจัดการป่าโดยชุมชนท้องถิ่นได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ ในปัจจุบัน เมื่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้น… คาร์บอนเครดิตได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนี่คือโอกาสทองสำหรับป่าชุมชนในการเข้าถึงตลาดคาร์บอนระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อสร้างรายได้และเสริมสร้างความเข้มแข็งในการอนุรักษ์ป่าอย่างยั่งยืน เพราะมีบทบาทสำคัญในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ดังนั้น การอนุรักษ์ ฟื้นฟูและปลูกป่าในพื้นที่ป่าชุมชน จึงถือเป็นการเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนและสามารถสร้างคาร์บอนเครดิตได้
ตลาดคาร์บอนระดับประเทศ : โอกาสสำหรับป่าชุมชนในประเทศไทย
ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของกลไกตลาดคาร์บอนในการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตามที่ได้ให้คำมั่นไว้กับประชาคมโลก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) หรือ Thailand Greenhouse Gas Management Organization (TGO) เป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลและส่งเสริมตลาดคาร์บอนในประเทศไทย
โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) เป็นกลไกสำคัญที่เปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆ รวมถึงป่าชุมชน สามารถพัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกและขึ้นทะเบียนเพื่อขอรับรองคาร์บอนเครดิต T-VER โดยเฉพาะโครงการ T-VER ประเภทป่าไม้และการเกษตร ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างป่าของชุมชน
โครงการ T-VER คืออะไร?
โครงการ T-VER หรือ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) เป็นกลไกที่พัฒนาขึ้นโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนในประเทศไทยมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกโดยความสมัครใจ ซึ่งโครงการจะต้องเป็นไปตามระเบียบวิธีการสำหรับโครงการป่าไม้ของ อบก. ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมต่างๆ เช่น การปลูกป่า การฟื้นฟูป่า การเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บคาร์บอนในดินและการลดการทำลายป่า
การพัฒนาโครงการ T-VER สำหรับป่าชุมชนจะเกี่ยวข้องกับการสำรวจและประเมินปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บได้ การจัดทำเอกสารโครงการ การตรวจสอบความใช้ได้ของโครงการโดยผู้ทวนสอบ (Validator) การขึ้นทะเบียนโครงการกับ อบก. การติดตามและประเมินผลโครงการและการขอรับรองคาร์บอนเครดิต (ที่มา : https://ghgreduction.tgo.or.th/)
ตลาดคาร์บอนนานาชาติ : ศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ของป่าชุมชน
นอกจากตลาดคาร์บอนในประเทศแล้ว ตลาดคาร์บอนในระดับนานาชาติยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้กลไกที่เกี่ยวข้องกับ REDD+ (Reducing Emissions from Deforestation and Forest Degradation and the role of conservation, sustainable management of forests and enhancement of forest carbon stocks in developing countries)
โดย REDD+ เป็นกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ที่มีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่า รวมถึงการส่งเสริมการอนุรักษ์ การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนและการเพิ่มพูนปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในป่า ซึ่งจะใช้มาตรฐานที่ได้รับการยอมรับระดับโลก เช่น Verified Carbon Standard (VCS) หรือ Gold Standard ซึ่งมีข้อกำหนดและกระบวนการที่เข้มงวดกว่า T-VER ตัวอย่างโครงการที่ประสบความสำเร็จในการสร้างคาร์บอนเครดิตจากป่าไม้และป่าชุมชนภายใต้มาตรฐานเหล่านี้ เช่น โครงการ Katingan Peatland Restoration and Conservation Project ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการ REDD+ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
การเข้าถึงตลาดคาร์บอนนานาชาติมีความท้าทายมากกว่าตลาดภายในประเทศ เพราะมาตรฐานและข้อกำหนดของตลาดนานาชาติมีความซับซ้อนและต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เฉพาะทาง อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการ การตรวจสอบความใช้ได้ การตรวจสอบยืนยัน และการบริหารจัดการโครงการนานาชาติสูงกว่ามาก ที่สำคัญคือชุมชนในประเทศอาจไม่มีเงินทุนเพียงพอในการเริ่มต้นโครงการขนาดใหญ่ ในขณะที่โครงการคาร์บอนเครดิตมักมีระยะเวลาดำเนินการที่ยาวนาน (20-30 ปี) ซึ่งต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง
ป่าชุมชน มีศักยภาพมหาศาลในการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศโลกผ่านการเข้าถึงตลาดคาร์บอน การสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของชุมชนเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างความยั่งยืนของการอนุรักษ์ป่าอีกด้วย แม้จะมีความท้าทาย แต่ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน และที่สำคัญที่สุดคือชุมชนท้องถิ่น เราสามารถเปิดประตูแห่งโอกาสนี้ให้ป่าชุมชนได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการพัฒนาที่ยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการสร้างอนาคตสีเขียวให้กับประเทศไทยและโลกของเรา
CarbonWatch เราผู้นำเทคโนโลยีอวกาศเพื่อสิ่งแวดล้อม และCarbon Credit รายแรกของไทย เราผสานนวัตกรรมดาวเทียมสำรวจโลกและ AI เพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้ เรามุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการสิ่งแวดล้อม และลดก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างเครดิตคาร์บอน เพื่อลดคาร์บอนอย่างยั่งยืนในตลาด Carbon Credit มาตรฐาน
ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา

แหล่งที่มาของข้อมูลเพิ่มเติม
- องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.): https://ghgreduction.tgo.or.th/ (สำหรับข้อมูลโครงการ T-VER)
- สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.): https://www.eec.or.th/th/climate-change/reddplus (สำหรับข้อมูล REDD+ ในบริบทของประเทศไทย)
- Verified Carbon Standard (VCS) / Verra: https://verra.org/ (สำหรับข้อมูลมาตรฐานคาร์บอนนานาชาติ)
- Gold Standard: https://www.goldstandard.org/ (สำหรับข้อมูลมาตรฐานคาร์บอนนานาชาติ)