ในยุคที่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นประเด็นเร่งด่วนระดับโลก โรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ จึงถูกจับตามองให้ร่วมรับผิดชอบในการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและการดำเนินงานของโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญที่สามารถสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้กับโรงงานได้ คือ “คาร์บอนเครดิต” ซึ่งเป็นสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดคาร์บอน โดยในบทความนี้จะอธิบายว่าโรงงานอุตสาหกรรมสามารถดำเนินการอย่างไรบ้างเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลได้ทั้งหมดที่กล่าวมา
ทำไมโรงงานอุตสาหกรรมต้องลดก๊าซเรือนกระจก?
บรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ :
ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมอุตสาหกรรม เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), มีเทน (CH4), ไนตรัสออกไซด์ (N2O) เป็นต้น เป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรง เช่น อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติที่บ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น
การปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อตกลงระหว่างประเทศ :
หลายประเทศทั่วโลกได้กำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกและมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น การที่โรงงานอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวได้เร็ว จะช่วยให้สามารถแข่งขันและดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นในตลาดโลก
สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน :
ผู้บริโภคและนักลงทุนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การลงทุนในการลดก๊าซเรือนกระจกจึงเป็นการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและดึงดูดลูกค้าและนักลงทุน
ลดต้นทุนระยะยาว :
การลงทุนในเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น การประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานหมุนเวียนหรือการจัดการของเสียที่ดีขึ้นอาจมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้น แต่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตในระยะยาวและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
แนวทางปฏิบัติสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในการลดก๊าซเรือนกระจก
การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน : โดยการจัดการดังนี้
- จัดทำระบบการจัดการพลังงานในโรงงานอย่างเป็นระบบ : เช่น ISO 50001 เพื่อติดตาม วิเคราะห์และปรับปรุงการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง
- การใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง : เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานประหยัดพลังงาน
- การปรับปรุงระบบทำความเย็นและปรับอากาศ : ตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบทำความเย็นและปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การนำความร้อนเหลือทิ้งกลับมาใช้ใหม่ : นำความร้อนที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ประโยชน์ เช่น การผลิตไอน้ำหรือทำความร้อน
- การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบส่องสว่าง : เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED หรือระบบส่องสว่างอัจฉริยะที่สามารถปรับความสว่างได้ตามสภาพแวดล้อม
การเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน : เช่น
- การติดตั้งโซลาร์เซลล์ : ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงานเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใช้เอง
- การใช้ชีวมวล (Biomass) : พิจารณาใช้เชื้อเพลิงชีวมวลที่มาจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหรืออุตสาหกรรม
- การลงทุนในพลังงานลมหรือพลังงานน้ำ : หากมีศักยภาพและทำเลที่เหมาะสม อาจพิจารณาการลงทุนในโครงการพลังงานลมหรือพลังงานน้ำ
การลดก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต : โดยการจัดการดังนี้
- การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต : ทบทวนกระบวนการผลิตเพื่อหาจุดที่เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง และพิจารณาปรับเปลี่ยนกระบวนการหรือใช้เทคโนโลยีที่ปล่อยก๊าซน้อยลง
การใช้สารตั้งต้นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม : เลือกใช้สารตั้งต้นหรือวัตถุดิบที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่า - การบำบัดก๊าซเสีย : ติดตั้งอุปกรณ์ในการดักจับหรือบำบัดก๊าซเรือนกระจกก่อนปล่อยออกสู่บรรยากาศ เช่น การใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน
การจัดการของเสียและการลดของเสีย : เช่น - ลดการเกิดของเสีย ณ แหล่งกำเนิด : ทบทวนกระบวนการผลิตเพื่อลดปริมาณของเสียที่เกิดขึ้น
- การนำกลับมาใช้ใหม่และการรีไซเคิล : ส่งเสริมการนำของเสียกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลเพื่อลดปริมาณของเสียที่ต้องนำไปกำจัด
- การผลิตก๊าซชีวภาพจากของเสียอินทรีย์ : หากมีของเสียอินทรีย์จำนวนมาก สามารถนำมาผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงานได้
ขั้นตอนการได้มาของคาร์บอนเครดิตในโรงงานอุตสาหกรรม
ชหากโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ต่ำกว่าปริมาณที่กำหนด หรือมีการดำเนินโครงการที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ จะสามารถนำปริมาณที่ลดได้มาเปลี่ยนเป็น Carbon Credit และนำไปจำหน่ายในตลาดคาร์บอนได้ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
- การกำหนดฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก : โรงงานต้องคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อนที่จะเริ่มดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อใช้เป็นค่าอ้างอิง
- การออกแบบและดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจก : พัฒนาและดำเนินการโครงการที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามแนวทางที่กล่าวมาข้างต้น
- การติดตามและประเมินผล : ติดตามและบันทึกปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงได้จริงจากโครงการ โดยต้องเป็นไปตามระเบียบวิธีการ ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานภายนอกที่จะเข้ามาตรวจสอบและรับรองว่าโครงการมีการลดก๊าซเรือนกระจกจริงตามที่กล่าวอ้าง เช่น Thailand Voluntary Emission Reduction Program (T-VER) ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) หรือมาตรฐานสากล เช่น Verra (VCS), Gold Standard
- การออกคาร์บอนเครดิต : เมื่อโครงการได้รับการรับรองแล้ว หน่วยงานที่ดูแลโครงการ เช่น T-VER ของประเทศไทย หรือ CDM ของ UNFCCC) ที่จะออก Carbon Credit ให้กับโรงงาน
- การจำหน่ายในตลาดคาร์บอน : โรงงานสามารถนำ Carbon Credit ที่ได้รับไปจำหน่ายในตลาดคาร์บอน ทั้งตลาดภาคบังคับ (Mandatory Market) และตลาดภาคสมัครใจ (Voluntary Market) เพื่อสร้างรายได้
ตัวอย่างอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่เข้าโครงการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อรับคาร์บอนเครดิต
บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย (SCG) ดำเนินโครงการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกแทนถ่านหิน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตปูนซีเมนต์ ทำให้สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้หลายแสนตันต่อปี และได้รับการรับรองจาก T-VER
บริษัท ไทยยูเนี่ยน ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในโรงงานผลิตปลาทูน่าและลงทุนในเทคโนโลยีทำความเย็นประสิทธิภาพสูง
การลดก๊าซเรือนกระจกไม่ใช่เพียงหน้าที่ของโรงงานอุตสาหกรรมในเรื่องของสิ่งแวดล้อม แต่ในแง่ของจริยธรรมให้กับธุรกิจในระยะยาว และยังสามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านระบบคาร์บอนเครดิตได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการปรับปรุงกระบวนการผลิต ใช้พลังงานสะอาดและดำเนินโครงการที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ระบบ Crabon Credit จึงเป็นแนวทางที่โรงงานไทยควรให้ความสนใจเพื่อก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจสีเขียวอย่างแท้จริง
CarbonWatch เราผู้นำเทคโนโลยีอวกาศเพื่อสิ่งแวดล้อม และCarbon Credit รายแรกของไทย เราผสานนวัตกรรมดาวเทียมสำรวจโลกและ AI เพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้ เรามุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการสิ่งแวดล้อม และลดก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างเครดิตคาร์บอน เพื่อลดคาร์บอนอย่างยั่งยืนในตลาด Carbon Credit มาตรฐาน
ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา
