ความสำคัญของการปลูกต้นไม้ที่มีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน
การปลูกต้นไม้เป็นหนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการช่วยลดภาวะโลกร้อน เนื่องจากมีต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์สามารถดูดซับ/กักเก็บคาร์บอนสูง และฟื้นฟูภูมิทัศน์ในไทย ทั้งการปลูกป่าเชิงเศรษฐกิจ ป่าชายเลน ระบบเกษตรผสมผสาน (agroforestry) หรือแม้แต่ปลูกในเมืองก็ช่วยสะสมคาร์บอนในทรัพยากรชีวมวลและดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะแนะนำพันธุ์ไม้โตเร็ว 10 ชนิดที่นิยมปลูกในประเทศไทยและมีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอน เหมาะสำหรับการปลูกในพื้นที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
ความสำคัญของการปลูกต้นไม้เพื่อกักเก็บคาร์บอนสูง
-
ลดภาวะโลกร้อน : ต้นไม้ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในอากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน การปลูกต้นไม้จำนวนมากจึงช่วยชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการตัดไม้ทำลายป่า
-
สร้างความสมดุลทางระบบนิเวศ : การปลูกต้นไม้ช่วยฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่เสื่อมโทรม สร้างแหล่งที่อยู่อาศัยให้กับสัตว์ป่าและช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
-
เพิ่มแหล่งรายได้ : ต้นไม้หลายชนิดโดยเฉพาะไม้เศรษฐกิจ สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและชุมชนจากการขายไม้และผลิตภัณฑ์จากป่า
-
ประโยชน์อื่นๆ : นอกจากจะช่วยดูดซับคาร์บอนแล้ว ต้นไม้ยังให้ประโยชน์อีกมากมาย เช่น สร้างร่มเงา ทำให้สภาพอากาศในพื้นที่นั้นๆ ร่มรื่นขึ้น เพิ่มความชื้นในอากาศและช่วยป้องกันการพังทลายของหน้าดินอีกด้วย
วิธีการคำนวณการดูดซับคาร์บอนของการปลูกต้นไม้เพื่อกักเก็บคาร์บอนสูง
การคำนวณปริมาณคาร์บอนที่ต้นไม้แต่ละต้นหรือแต่ละชนิด ค่อนข้างซับซ้อนและต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดของต้นไม้ อายุ ขนาด (ความสูงและเส้นผ่านศูนย์กลาง) และความหนาแน่นของเนื้อไม้ โดยทั่วไปแล้วสามารถคำนวณได้โดยใช้ สมการแอลโลเมตรี (Allometric Equation) ซึ่งเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อประมาณค่าชีวมวล (Biomass) ของต้นไม้จากตัวแปรต่างๆ หลังจากได้ค่าชีวมวลแล้วจึงนำมาคำนวณเป็นปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บได้ โดยใช้ค่าคงที่ประมาณ 47% ของน้ำหนักแห้งของต้นไม้เป็นปริมาณคาร์บอน
นอกจากนี้ หน่วยงานอย่างองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ก็ได้พัฒนาเครื่องมือและวิธีการคำนวณการกักเก็บคาร์บอนสำหรับโครงการภาคป่าไม้และเกษตรกรรม เพื่อให้การประเมินค่าเป็นไปอย่างมีมาตรฐานและเชื่อถือได้ การปลูกต้นไม้จึงเป็นวิธีที่ง่ายแต่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับโลกของเรา
10 พันธุ์ไม้ที่มีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนสูงในประเทศไทย
-
พะยอม : โตเร็ว ใช้ในแปลงปลูกเพื่อไม้เศรษฐกิจ การฟื้นฟูพื้นที่บริเวณที่เสื่อมโทรมและปลูกเป็นป่าปรับปรุงดิน
ศักยภาพกักเก็บคาร์บอน : งานภาคสนามในภูมิภาคเขตร้อนแสดงว่าต้นพะยอมอายุ 5–7 ปีมีการเพิ่มคาร์บอนต่อปีในระดับสูงเมื่อเทียบกับต้นไม้บางชนิด จึงเหมาะกับโครงการฟื้นฟูและปลูกเป็นไม้ยืนต้นเชิงพาณิชย์ แต่ต้องวางแผนสลับหรือผสมพันธุ์ร่วมกับพืชอื่น
-
ยูคาลิปตัส : โตเร็วมาก ในหลายพื้นที่ของไทยนิยมปลูกเพื่อวัตถุประสงค์อุตสาหกรรม (เยื่อกระดาษ ไม้ชิป พลังงานชีวมวล) มีข้อดีคือสามารถเก็บเกี่ยวเร็ว เหมาะกับการผลิตไม้พลังงานและการปลูกเชิงอุตสาหกรรม
ศักยภาพกักเก็บคาร์บอน : ยูคาลิปตัสเป็นไม้โตเร็วที่นิยมปลูกเพื่อเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมกระดาษ เนื่องจากมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วและทนทานต่อสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ให้ผลผลิตชีวมวลสูงต่อปีในรอบการเก็บเกี่ยว 3–5 ปี (ประมาณ 9.00 ตันคาร์บอน/ไร่/ปี) ทำให้ค่าอัตราการกักเก็บคาร์บอนสูงต่อปีเมื่อบริหารจัดการอย่างเข้มงวด ข้อควรระวังคือ ยูคาลิปตัสอาจดึงน้ำและธาตุอาหารจากดินมาก กรณีปลูกขนาดใหญ่/ต่อเนื่องอาจมีผลกระทบต่อความชุ่มชื้นของดินและระบบนิเวศ ต้องออกแบบการจัดการและเว้นที่เพื่อความยั่งยืน
-
ไม้ไผ่ : เป็นหญ้าประเภทหนึ่งแต่เติบโตเร็วมาก (บางชนิดโตเต็มความสูงภายในไม่กี่เดือนถึงปี) และสร้างระบบรากที่หนาแน่น สามารถนำมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย (ไม้ไผ่แปรรูป เช่น เฟอร์นิเจอร์ หรือโครงสร้างบ้าน) นอกจากนั้นยังมีความสามารถในการฟื้นฟูดิน ลดการชะล้างหน้าดินด้วย
ศักยภาพกักเก็บคาร์บอน : การศึกษาระบุว่าไผ่มีอัตราการกักเก็บคาร์บอนสูงในชีวมวลทั้งเหนือดินและใต้ดินเทียบเคียงหรือเหนือกว่าป่าต้นไม้บางชนิด แต่ต้องจัดการการเก็บเกี่ยวและการแปรรูปให้ยั่งยืน เพื่อให้คาร์บอนที่ถูกล็อกในผลิตภัณฑ์ ไม่ถูกปล่อยคืนสู่ชั้นบรรยากาศ
-
มะม่วงหิมพานต์ : มะม่วงหิมพานต์เป็นไม้เศรษฐกิจที่มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนสูง และถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีสำหรับการปลูกเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงอายุของต้นไม้และการบริหารจัดการสวนที่มีประสิทธิภาพ
ศักยภาพกักเก็บคาร์บอน : ในประเทศไทยมีการประมาณค่าการกักเก็บคาร์บอนสูงของมะม่วงหิมพานต์ที่ประมาณ 8.5 ตันคาร์บอน/ไร่/ปี โดยตัวเลขนี้เป็นค่าเฉลี่ยและอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งถือเป็นพันธุ์ไม้ที่มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนอยู่ในกลุ่มไม้เศรษฐกิจที่นิยมปลูก นอกจากนั้นยังงานวิจัยจากประเทศอินเดียและโตโก แสดงให้เห็นว่าสวนมะม่วงหิมพานต์ที่อายุ 11–15 ปี สามารถกักเก็บคาร์บอนในเนื้อไม้ได้ประมาณ 11.4 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับ 41.9 ตัน CO2e (คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) ต่อพื้นที่ 6 เฮกตาร์ (ประมาณ 37.5 ไร่) และสวนที่มีอายุ 16–20 ปี สามารถกักเก็บได้สูงถึง 30.2 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับ 110.6 ตัน CO2e ในพื้นที่เดียวกัน
-
สะเดา : เป็นไม้พื้นบ้านของไทยที่เติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น และสามารถทนทานต่อสภาพดินที่แห้งแล้งและขาดความอุดมสมบูรณ์ได้ดีกว่าพืชชนิดอื่นบางชนิด ทำให้เหมาะสำหรับการปลูกในพื้นที่ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพป่า
ศักยภาพกักเก็บคาร์บอน : สะเดาสามารถกักเก็บคาร์บอนสูงประมาณ 12.00 ตันคาร์บอนต่อไร่ต่อปี ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มพันธุ์ไม้โตเร็วที่มีอัตราการดูดซับคาร์บอนสูง เมื่อเปรียบเทียบกับไม้เศรษฐกิจชนิดอื่นๆ เมื่อต้นมีอายุมากขึ้นจะสามารถกักเก็บคาร์บอนในลำต้นได้ในปริมาณที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
-
สัก : การปลูกต้นสักไม่ได้ให้ประโยชน์แค่ด้านเศรษฐกิจจากเนื้อไม้ที่มีมูลค่าสูงเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญในการช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนอีกด้วย เนื่องจากต้นสักมีลักษณะลำต้นตรงสูงและมีกิ่งก้านน้อย ทำให้มีปริมาณเนื้อไม้ในลำต้นมาก ซึ่งเป็นแหล่งสะสมคาร์บอนที่สำคัญ นอกจากนี้ ไม้สักยังมีความแข็งแรงทนทานต่อการเน่าเปื่อย ทำให้คาร์บอนที่ถูกกักเก็บไว้ในเนื้อไม้สามารถคงอยู่ได้นานหลายสิบปีหรือมากกว่านั้น
ศักยภาพกักเก็บคาร์บอน : ประมาณ 9.50 ตันคาร์บอน/ไร่/ปี
-
รัง : เป็นไม้โตเร็วชนิดหนึ่งที่นิยมในภูมิภาคเขตร้อน เป็นไม้เศรษฐกิจใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และงานก่อสร้างเบา เหมาะกับพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ แต่ต้องออกแบบเว้นช่วงการปลูกและการจัดการเพื่อไม่ให้เกิดการกัดเซาะทรัพยากร
ศักยภาพกักเก็บคาร์บอน : จากการศึกษาในป่าชุมชนบ้านหนองใหญ่ จังหวัดกาญจนบุรี พบว่าป่าเต็งรังโดยรวมมีการกักเก็บคาร์บอนสูง โดยเฉลี่ยมีอัตราการเพิ่มพูนปริมาณคาร์บอนอยู่ที่ประมาณ 300.11 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดูดซับคาร์บอนของป่าชนิดนี้อย่างต่อเนื่อง
-
ตะเคียน/พะยูง : ไม้เนื้อแข็งคุณภาพสูง มูลค่าสูง เหมาะกับการลงทุนระยะยาวทางการเกษตร นิยมปลูกในประเทศไทยแบบเชิงพาณิชย์และปลูกเพื่อการฟื้นฟูบางพื้นที่ แต่ต้องดูแลระยะยาว (หลายสิบปี) กว่าจะให้ผลตอบแทนสูง
ศักยภาพกักเก็บคาร์บอน : แม้จะโตช้าแต่เมื่อโตเต็มวัยต้นตะเคียน/พะยูง จะสามารถกักเก็บคาร์บอนสูง เฉลี่ยประมาณ 9.80 ตันคาร์บอนต่อไร่ต่อปี ทั้งตะเคียนและพะยูงจึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการปลูกเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ลดก๊าซเรือนกระจก และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในอนาคต
-
ยางพารา : ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย นอกจากจะให้ผลผลิตเป็นน้ำยางเพื่อเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของภาคใต้และพื้นที่อื่น ๆ ของไทยแล้ว ยังเป็นไม้โตเร็วที่สามารถดูดซับคาร์บอนได้ดี แต่ก็มีข้อระวังในการปลูกคือต้องไม่ทำให้เกิดการแปลงผืนป่าเป็นสวนยาง (deforestation) เพราะจะทำให้ผลรวมคาร์บอนสุทธิลดลง
ศักยภาพกักเก็บคาร์บอน : งานวิจัยในสวนยางไทยรายงานอัตราการกักเก็บคาร์บอนสูงประมาณ15.55 ตันคาร์บอน/ไร่/ปี ขึ้นอยู่กับอายุของแปลงและการจัดการ จึงถือว่ามีศักยภาพกักเก็บคาร์บอนสูงเมื่อจัดการแบบยั่งยืน
-
จิกน้ำ/ตะแบกทอง : ไม้ใหญ่ให้ร่มเงา โตค่อนข้างเร็ว ใบใหญ่ ช่วยลดอุณหภูมิเมือง เก็บคาร์บอนในทรงพุ่มขนาดใหญ่ มีมวลชีวภาพมากเมื่อโตเต็มที่
ศักยภาพกักเก็บคาร์บอน : มีงานศึกษาการดูดซับคาร์บอนของต้นไม้ในเมืองของไทยชี้ว่า จิกน้ำ/ตะแบกทอง เป็นหนึ่งในชนิดที่มีประสิทธิภาพในการกักเก็บคาร์บอน เฉลี่ยประมาณ 9.00 - 10.00 ตันคาร์บอนต่อไร่ต่อปี ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มไม้เศรษฐกิจที่ช่วยลดภาวะเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากขนาดทรงพุ่มและอัตราการสังเคราะห์แสงที่สม่ำเสมอ เหมาะสำหรับพื้นที่สาธารณะและแนวทางสีเขียวในเมือง
ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ สำหรับผู้จะปลูกต้นไม้เพื่อกักเก็บคาร์บอนสูง
-
เลือกพันธุ์ตามสภาพพื้นที่ (ชายฝั่ง, ดินเปรี้ยว/เหนียว, ภาคเหนือแห้งกว่า ภาคใต้ชื้น) และวัตถุประสงค์ (ไม้เศรษฐกิจ vs ฟื้นฟูระบบนิเวศ)
-
หลีกเลี่ยงการปลูกโมโนคัลเจอร์ขนาดใหญ่โดยไม่วางแผนผสมพันธุ์ ซึ่งระบบผสม (agroforestry) จะเพิ่มความยืดหยุ่นและกักเก็บคาร์บอนได้ในหลายช่องทาง
-
สำหรับการอ้างสิทธิ์คาร์บอนหรือรับซื้อคาร์บอน ให้ใช้มาตรฐานการวัดและติดตามที่ยอมรับ (allometric equations, ดัชนี NDVI, การตรวจวัดสนาม) และระวังการคำนวณ “leakage” หรือผลกระทบที่ย้ายการปล่อยไปยังพื้นที่อื่น
การกักเก็บคาร์บอนสูงเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญในการลดปัญหาภาวะโลกร้อน พันธุ์ไม้เหล่านี้แต่ละชนิดมีอัตราการดูดซับคาร์บอนที่แตกต่างกันไป การเลือกปลูกไม้เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวและฟื้นฟูดิน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นหัวใจของการรับมือกับภาวะโลกร้อนในระยะยาว
สำหรับองค์กรหรือธุรกิจที่ต้องการวัดผลการปลูกป่าและสร้างความน่าเชื่อถือด้านสิ่งแวดล้อม CarbonWatch พร้อมให้บริการที่ปรึกษาและระบบติดตามคาร์บอนเครดิตอย่างครบวงจร ตั้งแต่การประเมินศักยภาพการกักเก็บคาร์บอน ไปจนถึงการตรวจวัดและรายงานผลตามมาตรฐานสากล CarbonWatch จะช่วยให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเป็นระบบ ทำให้โครงการปลูกป่าเพื่อสิ่งแวดล้อมมีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้ทุกการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมเกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและสามารถต่อยอดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จริง
ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา

ที่มาของข้อมูล :
- IPCC — Chapter 7 (AFOLU) : แนวทางและศักยภาพการลดการปล่อยในภาคป่าไม้/ที่ดิน
- Global review : Planted forests and CO₂ removal rates — ข้อมูลอัตราการดักจับ CO₂ ของป่าปลูก/การฟื้นฟู
- Acacia mangium — Stand structure & carbon sequestration (SCIRP / related studies)
- Eucalyptus in Thailand — MDPI analysis & biomass equations for eucalyptus clones
- Bamboo as Nature-Based Solution (MDPI) / bamboo carbon storage studies
- Mangrove carbon storage (review/Thai studies / Donato et al. type analyses)
- Fast-growing tree recommendations / Thai studies (Anthocephalus, Leucaena, Eucalyptus) — ThaiScience / FORRU
- Leucaena studies (biomass/forage production in Thailand) ResearchGate
- Gliricidia — agroforestry and carbon sequestration analyses (World Agroforestry / simulation studies)
- Gmelina arborea carbon & biomass studies (MDPI / restoration studies)
- Teak plantation carbon assessments (Thailand case studies)
- Rubber plantation carbon studies (Thailand: NEE measurements & reviews)
- Samanea saman / urban tree CO₂ uptake (BMC Ecology, Chulalongkorn studies)




