ทำความรู้จักกับประโยชน์และความสำคัญของ Carbon Credit
เราเชื่อว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า “Carbon Credit” กันมาบ้าง เพราะในยุคที่โลกต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) อย่างรุนแรง ปัญหาโลกร้อนได้กลายเป็นความท้าทายสำคัญระดับโลกที่ต้องการการร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดภาวะโลกร้อนคือ ก๊าซเรือนกระจก ที่ถูกปล่อยออกมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การตัดไม้ทำลายป่า และกิจกรรมอุตสาหกรรมต่างๆ การลดและควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงกลายเป็นวาระเร่งด่วนระดับโลก และหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ถูกนำมาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ก็คือ "คาร์บอนเครดิต"
Carbon Credit คืออะไร?
คาร์บอนเครดิต คือใบรับรองหรือสิทธิที่สามารถซื้อขายได้ ซึ่งแสดงถึงการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกในปริมาณหนึ่งตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ออกจากชั้นบรรยากาศหรือการหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซดังกล่าวในปริมาณที่เท่ากัน
พูดง่ายๆ ก็คือหากองค์กรหรือโครงการใดสามารถดำเนินกิจกรรมที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศได้มากกว่าเกณฑ์ปกติที่กำหนดไว้ พวกเขาก็จะได้รับคาร์บอนเครดิตเป็นรางวัลหรือสิ่งตอบแทนในปริมาณที่สอดคล้องกับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้นั้น
แนวคิด Carbon Credit เกิดขึ้นภายใต้กรอบของ พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ปี ค.ศ. 1997 ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับแรกที่มีข้อผูกพันทางกฎหมายเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยกำหนดกลไกที่เรียกว่า Clean Development Mechanism (CDM) เพื่อให้ประเทศพัฒนาแล้วสามารถลงทุนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศกำลังพัฒนา แล้วนำคาร์บอนเครดิตที่ได้มาใช้หักล้างกับการปล่อยในประเทศตนเอง
ต่อมาในปี ค.ศ. 2015 ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ได้เข้ามาแทนที่พิธีสารเกียวโต โดยเปิดให้ทุกประเทศมีส่วนร่วมในการลดก๊าซ และสนับสนุนการพัฒนากลไกการค้าคาร์บอนแบบสมัครใจ (Voluntary Carbon Market)
Carbon Credit มีหน่วยวัดปริมาณการลดหรือดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่เทียบเท่ากับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂e) โดย 1 คาร์บอนเครดิต เท่ากับการลดหรือดูดซับ CO₂ จำนวน 1 ตัน ซึ่งสามารถซื้อขายได้ในตลาดคาร์บอน (Carbon Market) ทั้งในระดับชาติและระหว่างประเทศ แนวคิดนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างแรงจูงใจเชิงเศรษฐกิจให้ภาคส่วนต่างๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
อ้างอิงข้อมูลจาก : Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC, 2014) และWorld Bank (2020). State and Trends of Carbon Pricing 2020.
การใช้ประโยชน์จาก Carbon Credit ทำได้อย่างไรบ้าง?
- ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง : องค์กรที่ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของตนเองได้ทั้งหมด หรือมีต้นทุนในการลดที่สูงมาก สามารถซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการอื่นเพื่อมาชดเชยการปล่อยของตนเองได้ ทำให้บรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)
- สร้างรายได้ : ผู้พัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกสามารถขายCarbon Credit ที่ได้รับให้กับองค์กรที่ต้องการ ทำให้เกิดแรงจูงใจทางเศรษฐกิจในการดำเนินโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ปฏิบัติตามกฎหมายหรือข้อบังคับ : ในบางประเทศหรือภูมิภาค อาจมีกฎหมายบังคับให้ภาคอุตสาหกรรมบางประเภทต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หากไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายก็จำเป็นต้องซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชย
Carbon Credit แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักตามกลไกตลาด
- ตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (Compliance Carbon Market หรือ Regulated Market) : เกิดขึ้นจากข้อผูกพันทางกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาลระดับชาติ ภูมิภาคหรือระหว่างประเทศ ที่กำหนดให้ภาคส่วนต่างๆ (โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและพลังงานที่มีการปล่อยก๊าซสูง) ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีการกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซและมีการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซหรือ Carbon Credit ที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายเพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนด ระบบนี้มักเรียกว่า "Cap-and-Trade" ตัวอย่างเช่น
- ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหภาพยุโรป (EU ETS - European Union Emissions Trading System) : เป็นตลาดคาร์บอนภาคบังคับที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลก
- กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism - CDM) : ภายใต้พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ซึ่งอนุญาตให้ประเทศพัฒนาแล้วลงทุนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศกำลังพัฒนาและได้รับหน่วย Carbon Credit ที่เรียกว่า Certified Emission Reductions (CERs) มาใช้ (ปัจจุบันบทบาทของ CDM ลดลงหลังสิ้นสุดระยะพิธีสารเกียวโต และกำลังถูกแทนที่ด้วยกลไกใหม่ภายใต้ความตกลงปารีส)
- กลไกภายใต้มาตรา 6 (Article 6) ของความตกลงปารีส : กำลังพัฒนากลไกตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศใหม่เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย NDCs
- ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหภาพยุโรป (EU ETS - European Union Emissions Trading System) : เป็นตลาดคาร์บอนภาคบังคับที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลก
- ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market - VCM) : เกิดขึ้นจากความต้องการขององค์กร ธุรกิจ สถาบันหรือบุคคล ที่ต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยสมัครใจในการลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง หรือเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน เช่น Carbon Neutrality, Net Zero โดยไม่มีข้อบังคับทางกฎหมาย แต่ขับเคลื่อนด้วยความต้องการของตลาด ความตระหนักรู้ด้านความยั่งยืน แรงกดดันจากนักลงทุน ผู้บริโภคและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ
โดยองค์กรต่างๆ นั้นจะซื้อ Carbon Credit เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี หรือเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาร์บอนเครดิตในตลาดนี้มักถูกเรียกว่า Verified Emission Reductions (VERs) หรือ Voluntary Emission Reductions (VERs) และได้รับการรับรองจากมาตรฐานเอกชนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เช่น
-
- Verified Carbon Standard (VCS) บริหารงานโดย Verra
- Gold Standard ก่อตั้งโดย WWF และองค์กรพัฒนาเอกชนอื่นๆ
- American Carbon Registry (ACR)
- Climate Action Reserve (CAR)
โครงการที่ก่อให้เกิด Carbon Credit ในตลาดภาคสมัครใจมีความหลากหลายมาก ตั้งแต่โครงการปลูกป่าและการอนุรักษ์ป่าไม้ (REDD+), การใช้พลังงานหมุนเวียน, การปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน, การจัดการของเสีย, การทำเกษตรกรรมคาร์บอนต่ำ ไปจนถึงเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS)
(ที่มา : ICAP (2023). Emissions Trading Worldwide. และForest Trends’ Ecosystem Marketplace (2022). Voluntary Carbon Market Insights.)
ทำไม Carbon Credit จึงสำคัญต่อการลดโลกร้อน?
- สร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจในการลดก๊าซเรือนกระจก : คาร์บอนเครดิตเปลี่ยนการลดก๊าซเรือนกระจกให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนหันมาพัฒนาและดำเนินโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- ช่วยให้การลดก๊าซเรือนกระจกมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า : กลไกตลาดคาร์บอนช่วยให้การลดก๊าซเรือนกระจกเกิดขึ้นในจุดที่มีต้นทุนต่ำที่สุดก่อน องค์กรที่สามารถลดการปล่อยก๊าซได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่า สามารถขายเครดิตให้กับองค์กรที่มีต้นทุนในการลดสูงกว่า หรือเผชิญกับข้อจำกัดทางเทคโนโลยีได้ ทำให้โดยรวมแล้วสังคมสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ในต้นทุนที่ต่ำลงและบรรลุเป้าหมายได้รวดเร็วขึ้น
- สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกระดับประเทศและระดับโลก : Carbon Credit เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้ประเทศต่างๆ สามารถบรรลุเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions - NDCs) ภายใต้ความตกลงปารีสซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับล่าสุดที่มุ่งจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และพยายามจำกัดให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม และตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศ (เช่น ภายใต้ Article 6 ของความตกลงปารีส) เปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือในการลดก๊าซเรือนกระจกข้ามพรมแดน ทำให้เกิดการถ่ายเทเงินทุนและเทคโนโลยีไปยังที่ที่มีศักยภาพในการลดก๊าซสูง
- ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการลงทุนในโครงการสีเขียว : การซื้อขาย Carbon Credit สามารถกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดและโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งอาจยังขาดแคลนเงินทุนและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยโครงการคาร์บอนเครดิตมักมาพร้อมกับการพัฒนาองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การติดตามและประเมินผลการลดก๊าซ การบริหารจัดการโครงการอย่างยั่งยืน
- เพิ่มความตระหนักรู้และความรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ : กระบวนการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การซื้อขายและการชดเชยCarbon Credit ช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้กับองค์กรและบุคคลทั่วไปเกี่ยวกับผลกระทบของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ และกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนในมิติอื่นๆ : โครงการคาร์บอนเครดิตจำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการในภาคป่าไม้ การเกษตรและพลังงานชุมชน ไม่เพียงแต่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมอื่นๆ ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ, การปรับปรุงคุณภาพชีวิตของชุมชนท้องถิ่น เช่น การสร้างงานหรือการเข้าถึงพลังงานสะอาด รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้น เช่น ลดมลพิษทางอากาศ
Carbon Credit เป็นเครื่องมือทางการเงินและกลไกตลาดที่สำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับวิกฤตการณ์โลกร้อน โดยทำหน้าที่สร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดและโครงการที่ยั่งยืน และช่วยให้องค์กรและประเทศต่างๆ สามารถบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของระบบ Carbon Credit ขึ้นอยู่กับความโปร่งใส ความน่าเชื่อถือของมาตรฐาน คุณภาพของเครดิตและการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกๆ เครดิตที่ถูกซื้อขายนั้นนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แท้จริงและยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสร้างประโยชน์ร่วมต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การทำความเข้าใจและสนับสนุนกลไกคาร์บอนเครดิตอย่างถูกต้อง ควบคู่ไปกับการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของตนเองอย่างจริงจัง จะเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญที่ช่วยให้เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการปกป้องโลกของเราจากภัยคุกคามของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างเป็นรูปธรรม
CarbonWatch เราผู้นำเทคโนโลยีอวกาศเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Carbon Credit รายแรกของไทย เราผสานนวัตกรรม ดาวเทียมสำรวจโลก และ AI เพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้ เรามุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการสิ่งแวดล้อม และ ลดก๊าซเรือนกระจก อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างเครดิตคาร์บอน เพื่อลดคาร์บอนอย่างยั่งยืนในตลาด Carbon Credit มาตรฐาน
ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา
