ความรู้ทั่วไป

การวางแปลงสำรวจคืออะไร? ทำไมถึงเป็นหัวใจสำคัญของงานสำรวจป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ

การวางแปลงสำรวจคืออะไร? ทำไมถึงเป็นหัวใจสำคัญของงานสำรวจป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ

ความแตกต่างของประเภทการวางแปลงสำรวจที่คุณควรรู้

การวางแปลงสำรวจ คือการกำหนดพื้นที่ตัวอย่างขนาดเล็กที่มีการวัดข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณของทรัพยากรป่าไม้ เช่น จำนวนต้นไม้ ขนาด (DBH, ความสูง) ชนิดพันธุ์ ปริมาณซากพืชและองค์ประกอบของระบบนิเวศอื่นๆ ข้อมูลจากแปลงสำรวจเหล่านี้ถูกนำไปรวมกันเพื่อประมาณค่าของประชากรทั้งพื้นที่ เช่น พื้นที่ป่า ปริมาตรไม้ ปริมาณชีวมวล/คาร์บอน และตัวชี้วัดความหลากหลายทางชีวภาพ โดยไม่ต้องสำรวจทุกตารางเมตรของพื้นที่จริงๆ ซึ่งทั้งประหยัดเวลาและงบประมาณเมื่อเทียบกับการนับทั้งพื้นที่จริงๆ ในขณะที่ยังคงได้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ

หลักการทำงานของการวางแปลงสำรวจคืออะไร?

แนวคิดและหลักการพื้นฐานคือการเลือกตัวอย่างจากประชากร ตัวอย่างเช่น หากต้องการทราบจำนวนต้นไม้ทั้งหมดในป่าขนาด 1,000 ไร่ การสำรวจทุกต้นไม้เป็นเรื่องที่ใช้เวลาและแรงงานมหาศาล ดังนั้นจึงมีการเลือกพื้นที่ตัวอย่างขนาดเล็ก เช่น แปลงสี่เหลี่ยมขนาด 1 ไร่ จำนวน 20 แปลง เพื่อเก็บข้อมูล แล้วนำข้อมูลจาก 20 แปลงนี้มาคำนวณและประมาณค่าเพื่อประเมินจำนวนต้นไม้ทั้งหมดในป่า 1,000 ไร่

ทำไมการวางแปลงสำรวจจึงสำคัญ?

  1. ความแม่นยำทางสถิติ : การวางแผนการสุ่มตัวอย่างที่ดีจะช่วยให้ข้อมูลที่เก็บมามีความแม่นยำทางสถิติสูง แปลงสำรวจแต่ละแปลงจะถูกจัดวางอย่างเป็นระบบโดยใช้หลักการทางสถิติ เพื่อลดความคลาดเคลื่อน (Error) จากการสุ่มตัวอย่าง ข้อมูลที่ได้จึงสามารถนำไปใช้วิเคราะห์และสรุปผลได้อย่างน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการวางแผนและตัดสินใจในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

  2. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย : การสำรวจทุกพื้นที่ในป่าขนาดใหญ่นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ การวางแปลงสำรวจทำให้งานภาคสนามกระชับขึ้นและใช้เวลาน้อยลงมากเมื่อเทียบกับการสำรวจทั้งหมด การใช้เวลาและทรัพยากรที่น้อยลงหมายถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงอย่างมาก ช่วยให้สามารถนำงบประมาณไปใช้ในส่วนอื่นๆ ที่จำเป็นได้

  3. เป็นตัวแทนของพื้นที่ทั้งหมด : หากวางแปลงสำรวจอย่างเหมาะสมตามหลักการทางสถิติ แปลงตัวอย่างที่เลือกมาจะมีความหลากหลายและสะท้อนลักษณะของพื้นที่ทั้งหมดได้ดี เช่น หากป่ามีทั้งพื้นที่ที่เป็นป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ การวางแผนสำรวจที่ดีจะกระจายแปลงสำรวจให้ครอบคลุมทั้งสองประเภท เพื่อให้ข้อมูลที่ได้เป็นตัวแทนของป่าทั้งหมดอย่างแท้จริง

  4. มีประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูล : ข้อมูลที่ได้จากการวางแปลงสำรวจมีปริมาณที่เหมาะสมต่อการจัดการ และวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์และโปรแกรมทางสถิติ ซึ่งช่วยให้การประมวลผลข้อมูลรวดเร็วและเป็นระบบมากขึ้น ทำให้สามารถนำผลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างทันท่วงที เช่น การประเมินมวลชีวภาพ (Biomass), การคำนวณปริมาณการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Sequestration) หรือการประเมินความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity)

ประเภทของการวางแปลงสำรวจ

  • การสำรวจแบบสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) : สุ่มเลือกแปลงสำรวจจากพื้นที่ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่มีหลักเกณฑ์เฉพาะ
  • การสำรวจแบบมีระบบ (Systematic Sampling) : เลือกแปลงสำรวจโดยเว้นระยะห่างเท่าๆ กัน เช่น ทุกๆ 100 เมตร
  • การสำรวจแบบแบ่งชั้น (Stratified Sampling) : แบ่งพื้นที่ออกเป็นชั้น (Strata) ตามลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น ประเภทของป่า, ระดับความสูง หรือความลาดชัน แล้วจึงสุ่มเลือกแปลงในแต่ละชั้น
  • การสำรวจแบบเป็นกลุ่ม (Cluster Sampling) : เลือกกลุ่มของแปลงสำรวจที่อยู่ใกล้กัน (Cluster) แทนที่จะเลือกแปลงเดี่ยวๆ กระจายไปทั่ว

ขั้นตอนเชิงปฏิบัติในการวางแปลงสำรวจ

  1. กำหนดวัตถุประสงค์ (ตัวอย่าง : ประมาณปริมาณไม้/คำนวณคาร์บอน/ประเมินความหลากหลาย/ตรวจสุขภาพป่า)
  2. สร้างsampling frameและเลือกการออกแบบ (random, systematic, stratified, clustered)
  3. เลือกประเภทแปลงและขนาด (fixed-area / variable-radius / transect / nested)
  4. กำหนดความหนาแน่น/จำนวนแปลง ผ่านการคำนวณตัวอย่างตามความแปรปรวนที่ยอมรับได้
  5. ติดตั้งแปลง (ปักหมุด แท่งสัญลักษณ์) และบันทึก GPS + metadata (datum, เทคโนโลยี GPS ที่ใช้, ภาพถ่ายแปลง)
  6. เก็บข้อมูลภาคสนามตามโปรโตคอลที่มาตรฐาน (DBH ที่ 1.3 ม., วิธีวัดความสูง, ข้อกำหนดการวัดซากไม้ ฯลฯ)
  7. ทำ QA/QC : ตรวจสอบความสมบูรณ์ของฟอร์ม, ซ้อนวัดบางตัวอย่าง, บันทึกข้อผิดพลาด
  8. จัดเก็บข้อมูลในรูปดิจิทัล พร้อม metadataและสำรองข้อมูล
  9. วางแผน remeasurement interval (เช่น 3–10 ปี ขึ้นกับวัตถุประสงค์และความเร็วของการเปลี่ยนแปลง)

ที่มาของข้อมูล : https://www.fao.org/sustainable-forest-management/toolbox/tools/tool-detail/en/c/340781/

ตัวอย่างแนวปฏิบัติระดับชาติและองค์กรมาตรฐานในการวางแปลงสำรวจ

  • USFS — Forest Inventory and Analysis (FIA) : มีการออกแบบแปลงมาตรฐานระดับชาติและการ remeasurement เป็นรอบๆ (เช่น 5–7 ปี ในบางภูมิภาค) ซึ่งเป็นตัวอย่างของการจัดทำ NFI ที่ให้ข้อมูลสม่ำเสมอสำหรับการบริหารทรัพยากร
  • FAO — Field manuals & NFI guidance : ให้กรอบแนวทางการวางแปลง การคำนวณขนาดตัวอย่าง และคำแนะนำสำหรับประเทศที่ต้องการจะตั้งระบบการสำรวจป่าไม้ระดับชาติ
  • CIFOR / PSP networks : งานวิจัยและเครือข่ายแปลงสำรวจถาวร (PSP) ในเขตร้อน แสดงให้เห็นคุณค่าของแปลงสำรวจในงานวิจัยระยะยาว ทั้งเรื่องการเติบโต ผลผลิตและบริการระบบนิเวศอื่นๆ

การวางแปลงสำรวจไม่ใช่แค่การ “ปักไม้แล้ววัดต้นไม้” แต่เป็นการออกแบบเชิงวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงข้อมูลภาคสนาม กับการตัดสินใจเชิงนโยบายและการจัดการทรัพยากร ตั้งแต่การประเมินปริมาณไม้และคาร์บอน การติดตามการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ ไปจนถึงการให้ข้อมูลยืนยันกับเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างดาวเทียมและ LiDAR หากออกแบบและดำเนินการอย่างถูกต้อง แปลงสำรวจจะเป็น ‘หัวใจ’ ที่ผลักดันให้การบริหารจัดการป่าไม้และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเป็นไปอย่างมีหลักฐานและยั่งยืนในอนาคต

เพื่อให้การวางแปลงสำรวจและการเก็บข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ องค์กรและผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้บริการของ CarbonWatch ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการจัดเก็บ วิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลจากแปลงสำรวจเพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอน เรามีระบบดิจิตอลที่ช่วยแปลงข้อมูลภาคสนามให้กลายเป็นเอกสารข้อเสนอโครงการที่ได้มาตรฐานระดับสากล

ติดต่อ THAICOM PUBLIC COMPANY LIMITED พร้อมให้คำปรึกษา

เทคโนโลยีอื่นๆ

คำถามที่พบบ่อย

No items found.

เริ่มต้นกับ CarbonWatch

"ลงทะเบียนและเริ่มสร้างโครงการของคุณได้ง่าย ๆ สัมผัสกับบริการจัดการคาร์บอน การกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้
แบบครบวงจร ที่พร้อมช่วยให้การจัดการของคุณเป็นเรื่องง่าย"

เริ่มเลย