ความรู้ทั่วไป

ป่าไม้ในประเทศไทย

ป่าไม้ในประเทศไทย

ป่าไม้ในประเทศไทยมีความหลากหลายและสำคัญต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิตของประชาชน อย่างไรก็ตาม พื้นที่ป่าไม้ของประเทศมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลล่าสุดระบุว่าในปี พ.ศ. 2566 ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้เหลืออยู่ 101,818,155.76 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 31.47 ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งลดลงจากปี พ.ศ. 2565 ที่มีพื้นที่ป่าไม้ 102,135,974.96 ไร่ หรือร้อยละ 31.57 ของพื้นที่ประเทศ

ที่มา : มูลนิธิสืบนาคะเสถียร. (2566). สถานการณ์ป่าไม้ไทย 2566.
สืบค้นจาก https://www.seub.or.th/bloging/work/2014-113/

ชนิดของป่าไม้ในประเทศไทยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม

ที่มา :กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. (2566). ประเภทของป่าไม้ในประเทศไทย.
สืบค้นจาก https://www.dnp.go.th/research/knowledge/type%20of%20forest.html

1. ป่าผลัดใบ (Deciduous Forest)

เป็นป่าไม้ที่ผลัดใบตามฤดูกาล (seasonal) พบทั่วไปในภูมิภาคที่มีช่วงฤดูแล้งยาวนานระหว่าง 4-7 เดือน เมื่อถึงฤดูแล้งที่มีปริมาณความชุ่มชื้นในดินและบรรยากาศลดลงอย่างมากต้นไม้ในป่าประเภทนี้จะผลัดใบร่วงลงสู่พื้นดิน และเมื่อถึงต้นฤดูฝนต้นไม้ในป่านี้จะเริ่มเตรียมผลิใบอ่อนขึ้นมาใหม่ พืชพรรณในป่าผลัดใบส่วนใหญ่เป็นพรรณไม้ผลัดใบ(deciduous species) แทบทั้งสิ้น ในช่วงฤดูแล้งต้นไม้มีการผลัดใบทำให้มีใบไม้แห้งทับถมกัน ทำให้มีโอกาสเกิดไฟป่าขึ้นได้ โดยป่าผลัดใบในประเทศไทย ได้แก่

ที่มา :Seub Nakhasathien Foundation. (2019).

1.1 ป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest

ป่าผลัดใบผสม หรือป่าเบญจพรรณมีลักษณะเป็นป่าโปร่งและยังมีไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่กระจายทั่วไป ต้นไม้เกือบทั้งหมดมีการผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง โดยเฉพาะตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมไปถึงเดือนเมษายน ในประเทศไทยป่าชนิดนี้ พบในภาคเหนือ ภาคกลางและภาคอีสาน ครอบคลุมถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ตอนบน ป่าชนิดนี้ปรากฏที่ระดับความสูงตั้งแต่ 50 – 800 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง หรือมากกว่าในบางพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝน 1600 มิลลิเมตรต่อปีหรือต่ำกว่านี้ในช่วง 1200-1400 มิลลิเมตรต่อปี พื้นดินมักเป็นดินร่วนปนทราย พันธุ์ไม้ชนิดสำคัญในป่าเบญจพรรณ ได้แก่ สัก ประดู่ มะค่าโมง พยุง ชิงชัน พี้จั่น ตะแบก เสลา อ้อยช้าง ส้าน ยม หอม ยมหิน มะเกลือ สมพง เก็ดดำ เก็ดแดง นอกจากนี้มีไม้ไผ่ที่สำคัญ เช่น ไผ่ป่า ไผ่บง ไผ่ซาง ไผ่รวก ไผ่ไร

ที่มา :Seub Nakhasathien Foundation. (2019).

1.2 ป่าเต็งรัง (Deciduous Dipterocarp Forest)

หรือที่เรียกกันว่าป่าแดง  ป่าแพะ  ป่าโคก  ลักษณะทั่วไปเป็นป่าโปร่ง  ปรากฏที่ความสูงตั้งแต่ 50 -1000 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง มีปริมาณน้ำฝนอยู่ในช่วง 900 – 1200 มิลลิเมตรต่อปี ป่าชนิดนี้มีไฟป่าเกิดขึ้นเป็นประจำ พื้นที่แห้งแล้งดินร่วนปนทราย หรือกรวด  ลูกรัง  พบอยู่ทั่วไปในที่ราบและที่ภูเขา  ในภาคเหนือส่วนมากขึ้นอยู่บนเขาที่มีดินตื้นและแห้งแล้งมาก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีป่าแดงหรือป่าเต็งรังนี้มากที่สุด ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญ  ได้แก่  เต็ง  รัง  เหียง  พลวง  กราด  พะยอม  ติ้ว  แต้ว  มะค่าแต  ประดู่  แดง มะขามป้อม มะกอก ผักหวาน  สมอไทย  ตะแบก  เลือดแสลงใจ  รกฟ้า  ฯลฯ  ส่วนไม้พื้นล่างเป็นหญ้า หญ้าเพ็ก ปรง กระเจียวเปราะ มะพร้าวเต่า  ปุ่มแป้ง  โจด และหญ้าชนิดอื่นๆ

1.3 ป่าทุ่ง (Savanna)

จัดเป็นสังคมพืชในกลุ่มป่าผสมผลัดใบ ประกอบไปด้วยไม้ขนาดเล็กหรือไม้พุ่มผสมกับหญ้าขึ้นปกคลุมพื้นที่สลับกันไป ป่าทุ่งตามธรรมชาติในประเทศไทยมีอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่นั้นเกิดจากการแผ้วถางป่าจนมีสภาพเสื่อมโทรม จึงส่งส่งผลให้พื้นที่ป่าหญ้าขยายตัวมากขึ้นทุกปี  ปรากฏในพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่า 900 มิลลิเมตรต่อปี พืชที่พบมากที่สุดในป่าหญ้าก็คือ  หญ้าคา  หญ้าขน แฝก อ้อ แขม ตาช้าง  หญ้าโขมง  หญ้าเพ็กและปุ่มแป้ง บริเวณที่พอจะมีความชื้นอยู่บ้างอาจพบต้นไม้ทนไฟขึ้นอยู่  เช่น  ตับเต่า  รกฟ้าตานเหลือ  ติ้วและแต้ว

1.4 ทุ่งหญ้าเขตร้อน (Tropical grassland)

ทุ่งหญ้ากับป่าทุ่งในเขตร้อน เป็นสังคมพืชที่มีความใกล้เคียงกันมากทั้งโครงสร้างและชนิดพืช โดยประกอบไปด้วยหญ้าเป็นส่วนใหญ่ มีพื้นที่กว้างปกคลุมด้วยหญ้าต่อเนื่องกันไป อาจมีพืชล้มลุกอื่นๆขึ้นผสมอยู่บ้างเล็กน้อย ทุ่งหญ้าเขตร้อนตามธรรมชาติในประเทศไทยมีอยู่น้อยและส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เล็กๆ จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจ

2. ป่าไม่ผลัดใบ(Evergreen Forest)

ป่าประเภทนี้จะมีความชุ่มชื้นตลอดปี เนื่องจากต้นไม้ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ไม่ผลัดใบมักพบในเขตที่มีความชื้นสูง โดยทั่วไปป่าไม่ผลัดใบแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามสภาพภูมิอากาศและลักษณะทางภูมิประเทศ

ที่มา : Seub Nakhasathien Foundation. (2019).

2.1 ป่าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest)

เป็นป่ารกทึบมองดูเขียวชอุ่มตลอดปี ในพื้นที่มีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 1600 มิลลิเมตรต่อปีขึ้นไป มีการกระจายของฝนต่อเนื่องมากกว่า 8 เดือนต่อปี มีพันธุ์ไม้หลายร้อยชนิดอยู่รวมกัน มักจะพบกระจัดกระจายตั้งแต่ความสูง 600 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง อยู่ทั่วไปในทุกภาคของประเทศ และมากที่สุดแถบชายฝั่งภาคตะวันออก เช่น ระยอง จันทบุรี และที่ภาคใต้ พันธุ์ไม้ส่วนใหญ่เป็นวงศ์ยาง เช่น ยางนา ยางเสียน เป็นต้น พันธุ์ไม้อื่น ช่น ไม้ตะเคียน กะบาก อบเชย จำปาป่า ส่วนไม้ชั้นรอง คือ พวกไม้กอ เช่น กอน้ำ กอเดือย และไม้ชั้นล่างจะเป็นพวกปาล์ม ไผ่ ระกำ หวาย บุกขอน เฟิร์น มอส กล้วยไม้ป่าและ เถาวัลย์ชนิดต่างๆ

ที่มา : Seub Nakhasathien Foundation. (2019).

2.2 ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest)

เป็นป่าที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างราบหรือตามหุบเขา มีความชุ่มชื้นน้อย มีช่วงความแห้งแล้งนานประมาณ 3-4 เดือน มีดินค่อนข้างลึกสามารถกักเก็บน้ำได้ดีพอสมควร ปรากฏตั้งแต่ความสูง 100-800 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง และมีปริมาณน้ำฝนในช่วง 1000 – 2000 มิลลิเมตรต่อปีพันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ มะคาโมง ยางนา ยางแดง พยอม ตะเคียนแดง กระเบากลัก และตาเสือ ส่วนพื้นที่ป่าชั้นล่างจะไม่หนาแน่นและค่อนข้างโล่งเตียน

ที่มา : Seub Nakhasathien Foundation. (2019).

2.3 ป่าดิบเขา (Hill Evergreen Forest)

ป่าชนิดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สูงๆ หรือบนภูเขาตั้งแต่ 1,000-1,800 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล มีปริมาณน้ำฝนระหว่าง 1,000 - 2,000 มิลลิเมตร สภาพอากาศหนาวเย็น ส่วนใหญ่อยู่บนเทือกเขาสูงทางภาคเหนือ และบางแห่งในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พืชที่สำคัญได้แก่ ไม้วงศ์ก่อ เช่น ก่อสีเสียด ก่อตาหมูน้อย อบเชย พวกไม้ขุนและสนสามพันปี ส่วนไม้ชั้นรอง ได้แก่ เป้ง สะเดาช้าง และขมิ้นต้น และไม้พื้นล่างเป็นพวกเฟิร์น กล้วยไม้ดิน มอสต่างๆ

ที่มา :Seub Nakhasathien Foundation. (2019).

2.4 ป่าสนเขา (Pine Forest)

ป่าสนเขามักปรากฎอยู่ตามภูเขาสูง สภาพภูมิประเทศค่อนข้างเย็นและมีช่วงความหนาวเย็นยาวนานพอสมควรแต่ไม่ชื้นจัดจนเกินไป ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ซึ่งมีความสูงประมาณ 200-1800 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป บางครั้งพบขึ้นปนอยู่กับป่าแดงและป่าดิบเขา ป่าสนเขามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าชนิดนี้คือ สนสองใบ และสนสามใบ

2.5 ป่าชายเลน (Mangrove Forest)

บางทีเรียกว่า "ป่าเลนน้ำเค็ม”หรือป่าเลน มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นแต่ละชนิดมีรากค้ำยันและรากหายใจ ป่าชนิดนี้ปรากฎอยู่ตามที่ดินเลนริมทะเลหรือบริเวณปากน้ำแม่น้ำใหญ่ๆ ซึ่งมีน้ำเค็มท่วมถึงในพื้นที่ภาคใต้มีอยู่ตามชายฝั่งทะเลทั้งสองด้าน ตามชายทะเลภาคตะวันออกมีอยู่ทุกจังหวัดแต่ที่มากที่สุดคือ บริเวณปากน้ำเวฬุ อำเภอลุง จังหวัดจันทบุรี พันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่าชายเลน ส่วนมากเป็นพันธุ์ไม้ขนาดเล็กใช้ประโยชน์สำหรับการเผาถ่านและทำฟืนไม้ชนิดที่สำคัญ คือ โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ ประสัก ถั่วขาว ถั่วขำ โปรง ตะบูน แสมทะเล โพทะเล ลำพูนและลำแพน ฯลฯ ส่วนไม้พื้นล่างมักเป็นพวก ปรงทะเลเหงือกปลายหมอ ปอทะเล และเป้ง เป็นต้น

ที่มา :Seub Nakhasathien Foundation. (2019).

2.6 ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด (Swamp Forest)

ป่าชนิดนี้มักปรากฎในบริเวณที่มีน้ำจืดท่วมมากๆ ดินระบายน้ำไม่ดีป่าพรุในภาคกลาง มีลักษณะโปร่งและมีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่างๆ เช่น ครอเทียน สนุ่น จิก โมกบ้าน หวายน้ำ หวายโปร่ง ระกำ อ้อ และแขม ในภาคใต้ป่าพรุมีขึ้นอยู่ตามบริเวณที่มีน้ำขังตลอดปีดินป่าพรุที่มีเนื้อที่มากที่สุดอยู่ในบริเวณจังหวัดนราธิวาสดินเป็นพีท ซึ่งเป็นซากพืชผุสลายทับถมกัน เป็นเวลานานป่าพรุแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ ตามบริเวณซึ่งเป็นพรุน้ำกร่อยใกล้ชายทะเลต้นเสม็ดจะขึ้นอยู่หนาแน่นพื้นที่มีต้นกกชนิดต่างๆ เรียก "ป่าพรุเสม็ด หรือ ป่าเสม็ด" อีกลักษณะเป็นป่าที่มีพันธุ์ไม้ต่างๆ มากชนิดขึ้นปะปนกันชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าพรุ ได้แก่ อินทนิล น้ำหว้า จิก โสกน้ำ กระทุ่มน้ำ กะทั่งหัน ไม้พื้นล่างประกอบด้วย หวาย ตะค้าทอง หมากแดง และหมากชนิดอื่นๆ

2.7 ป่าชายหาด (Beach Forest)

เป็นป่าโปร่งไม่ผลัดใบขึ้นอยู่ตามบริเวณหาดชายทะเล เป็นป่าที่ปกคลุมอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลที่ดินเป็นดินทรายจัด น้ำทะเลท่วมไม่ถึง หรือบริเวณหาดทรายเก่าที่ยกตัวสูงขึ้น หรือบริเวณที่เป็นหินชิดฝั่งทะเล ดินค่อนข้างเค็ม ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ตามหาดชายทะเลส่วนใหญ่จึงเป็นพืชทนเค็ม และมักมีลักษณะไม้เป็นพุ่มลักษณะต้นคดงอจากแรงลม ใบหนาแข็ง ได้แก่ สนทะเล หูกวาง โพธิ์ทะเล กระทิง ตีนเป็ดทะเล หยีน้ำ มักมีต้นเตยและหญ้าต่างๆ ขึ้นอยู่เป็นไม้พื้นล่าง ตามฝั่งดินและชายเขา มักพบไม้เกตลำบิด มะคาแต้ กระบองเพชร เสมา และไม้หนาม เช่น ซิงซี่ หนามหัน กำจาย มะดันขอ เป็นต้น

เทคโนโลยีอื่นๆ

คำถามที่พบบ่อย

No items found.

เริ่มต้นกับ CarbonWatch

"ลงทะเบียนและเริ่มสร้างโครงการของคุณได้ง่าย ๆ สัมผัสกับบริการจัดการคาร์บอนแบบครบวงจร ที่พร้อมช่วยให้การจัดการของคุณเป็นเรื่องง่าย"

เริ่มเลย